คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดิน 2 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2, ที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรชายและบุตรสะใภ้ จำเลยให้การว่าที่ดินแปลงหนึ่งติดจำนอง อีกแปลงหนึ่งติดขายฝาก จำเลยที่ 2, ที่ 3 นำเงินไปไถ่ถอน จำเลยที่ 1 จึงโอนที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้างให้เป็นการกระทำโดยสุจริต ที่จำเลยนำสืบว่าที่ดินแปลงหนึ่งพร้อมสิ่งปลูกสร้างเดิมเป็นของ พ. ยกให้จำเลยที่ 2 ในวันแต่งงาน แต่โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ก่อน ต่อมาจำเลยที่ 1 จึงทำนิติกรรมโอน ทรัพย์นั้นให้แก่จำเลยที่ 2, ที่ 3 เป็นการนำสืบนอกประเด็นศาลไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ไปกู้เงินบุคคลอื่นเอามาให้จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนการขายฝากที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงโอนทรัพย์นั้นให้หากจำเลยที่ 2 ทำเช่นนั้นจริง ก็เป็นการทำเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ผู้เป็นมารดาการโอนทรัพย์เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการโอนให้โดยมีค่าภารติดพันหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์แล้วไม่ใช้ โจทก์ฟ้องคดีถึงที่สุด ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย แต่เมื่อจำเลยที่ 1 กู้เงินไปแล้วเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ได้โอนที่โฉนดที่ 1687 กับ 1840 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ 2, ที่ 3 บุตรชายและบุตรสะใภ้โดยเสน่หาโดยรู้อยู่ว่าเป็นการให้โจทก์เสียเปรียบ จึงขอให้พิพากษาว่านิติกรรมการโอนดังกล่าวเป็นโมฆะ

จำเลยทั้งสามให้การว่า เดิมจำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดที่ 1687 ไปจำนองที่ดินโฉนดที่ 1840 ไปขายฝากไว้กับนางอำไพ จำเลยที่ 2, ที่ 3 เป็นผู้นำเงินไปไถ่ถอน จำเลยที่ 1 จึงโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้เป็นการกระทำโดยสุจริต โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปีคดีขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินทั้งสองแปลงให้จำเลยที่ 2, ที่ 3 โดยเสน่หา รู้อยู่แล้วว่าเป็นทางให้โจทก์เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่การโอนที่ดินโฉนดที่ 1687 คดีขาดอายุความ พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดที่ 1840 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การโอนที่ดินโฉนดที่ 1840 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นการโอนโดยมีค่าภารติดพัน จำเลยที่ 2, ที่ 3 ไม่รู้ว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยนำสืบว่า ที่ดินโฉนดที่ 1840 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างเดิมเป็นของหลวงพิสิษฐสุรินทร์รัตน์ยกให้จำเลยที่ 2 ในวันแต่งงานแต่ได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ก่อน และจำเลยที่ 1 สาบานต่อหน้าหลวงพิสิษฐสุรินทร์รัตน์ว่าจะโอนทรัพย์ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ต่อไป ต่อมาจึงทำพินัยกรรมโอนทรัพย์นั้นให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น ข้ออ้างดังกล่าวเป็นการนำสืบนอกประเด็นจึงไม่รับวินิจฉัยให้ ข้อที่จำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 ไปกู้เงินบุคคลอื่นเอามาให้จำเลยที่ 1 ไถ่การขายฝากที่ดินโฉนดที่ 1840 จำเลยที่ 1 จึงโอนทรัพย์ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หากจำเลยที่ 2 กระทำเช่นนั้นจริงก็เป็นการกระทำเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ผู้เป็นมารดา และการโอนทรัพย์เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการโอนให้โดยมีค่าภารติดพันหาได้ไม่ การที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ และได้โอนทรัพย์ของตนให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จนไม่อาจชำระหนี้แก่โจทก์ได้เช่นนี้เป็นการกระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เมื่อกรณีเป็นการโอนให้โดยเสน่หา แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้รู้ฝ่ายเดียว โจทก์ชอบที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์ดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share