แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ถูกจำเลยชกล้มลงได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะรักษาอยู่ 10 วันเศษกับได้รับแผลภายนอกเป็นรอยบวมเช่นนี้ถือว่า เป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้กลุ้มรุมสมคบกันทำร้ายร่างกายโจทก์บาดเจ็บฟกช้ำดำเขียวศีรษะฟาดกับพื้นซีเมนต์ รักษาไม่น้อยกว่า 10 วัน ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไปหาเรื่องกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผลักโจทก์ให้ออกจากห้อง ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นแต่ห้ามมิให้โต้เถียงกัน โจทก์ไม่มีบาดเจ็บเป็นบาดแผลสาหัส
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ถูกจำเลยทั้งสามทำร้าย โจทก์ได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะ นายแพทย์ให้การรักษาอยู่ 10 วันเศษ พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 จำคุกจำเลยที่ 1 4 เดือน ปรับ 1,000 บาท จำคุกจำเลยนอกนั้นคนละ 3 เดือน ปรับคนละ 800 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี ตามมาตรา 56
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกระทำผิดด้วย และจำเลยที่ 1 เพียงใช้มือชก ไม่มีบาดแผล มีแต่รอยบวม พิพากษาแก้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3 นอกนั้นเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ถูกจำเลยที่ 1 ชกล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำอะไรโจทก์ คดียังฟังไม่ถนัดว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำร้ายโจทก์โดยร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าบาดแผลของโจทก์ไม่ถึงเป็นอันตรายแก่กายเพราะเป็นบาดแผลถูกชกมีรอยบวมเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทำร้ายโจทก์ได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะ รักษาอยู่ 10 วันเศษ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมิได้ฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ที่ศาลอุทธรณ์กล่าวว่า มีรอยบวมนั้น เป็นการกล่าวถึงแผลภายนอกเท่านั้น เพื่อเป็นเหตุผลในข้อรอการลงโทษจำเลย บาดแผลเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แล้วพิพากษายืน