คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 911/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

รายงานกระบวนพิจารณาเป็นเอกสารที่ศาลจดแจ้งข้อความเกี่ยวด้วยเรื่องที่ได้กระทำในการนั่งพิจารณาหรือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นๆ ของศาลตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 48 ส่วนคำให้การเป็นคำคู่ความซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งใน ป.วิ.พ. มาตรา 67 ว่าให้คู่ความทำเป็นหนังสือโดยใช้แบบพิมพ์ของศาลที่จัดไว้และมีรายการต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะได้บันทึกคำแถลงของจำเลยที่ 4 ที่ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ก็ถือไม่ได้ว่ารายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวเป็นคำให้การของจำเลยที่ 4
เมื่อจำเลยที่ 4 มิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด กรณีจึงถือว่าจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องมีคำขอต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยที่ 4 ยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยทั้งสี่จะแถลงยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง และศาลชั้นต้นสามารถพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องทำการสืบพยานอีกต่อไป ก็ไม่ทำให้โจทก์หมดหน้าที่ที่จะต้องมีคำขอตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อโจทก์มิได้มีคำขอศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ออกจากสารบบความได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 4 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมรับผิดชดใช้หนี้ส่วนที่ขาดจนครบ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ไม่ยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่ได้มีคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ (ที่ถูกยื่นคำขอเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด) จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 9,706,323.42 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,124,679.53 บาท นับแต่วันที่ 28 เมษายน 2543 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 21 กรกฎาคม 2543 จำเลยที่ 4 ได้มาแถลงต่อศาลชั้นต้นยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง ศาลชั้นต้นจึงบันทึกคำแถลงของจำเลยที่ 4 ไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา และจำเลยที่ 4 ได้ลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวด้วย กรณีจึงเท่ากับว่าจำเลยที่ 4 ได้ทำคำให้การเป็นหนังสือตามกฎหมายแล้ว และการที่จำเลยทั้งสี่สละประเด็นข้อต่อสู้ทั้งหมดโดยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาคดีไปได้โดยไม่ต้องสืบพยาน แต่ด้วยคู่ความประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นจึงให้เลื่อนคดีเพื่อเจรจากัน ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ออกจากสารบบความนั้น เห็นว่า รายงานกระบวนพิจารณาเป็นเอกสารที่ศาลจดบันทึกข้อความเกี่ยวด้วยเรื่องที่ได้กระทำในการนั่งพิจารณาหรือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นของศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 48 ส่วนคำให้การเป็นคำคู่ความซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67 ว่า ให้คู่ความทำเป็นหนังสือโดยใช้แบบพิมพ์ของศาลและมีรายการต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะได้บันทึกคำแถลงของจำเลยที่ 4 ที่ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2543 และจำเลยที่ 4 ได้ลงลายมือชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่ารายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวเป็นคำให้การของจำเลยที่ 4 เมื่อจำเลยที่ 4 มิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดกรณีจึงถือว่าจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์จึงต้องมีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยที่ 4 ยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยทั้งสี่จะแถลงยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องและศาลชั้นต้นสามารถพิพากษาคดีได้โดยไม่ต้องทำการสืบพยานอีกต่อไป ก็ไม่ทำให้โจทก์หมดหน้าที่ที่จะต้องมีคำขอตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อโจทก์มิได้มีคำขอศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ออกจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง”
พิพากษายืน

Share