แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้มีอำนาจสั่งแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารรื้อถอนอาคารที่โจทก์เช่าอยู่อาศัยได้โดยเด็ดขาด เป็นที่สุดฉะนั้น ศาลจึงย่อมมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีพิพาทระหว่างผู้เช่าอาคารกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้
ตามพระราชบัญญัติควมคุมการก่อสร้างอาคาร ฯลฯ มิได้ถือเอาสภาพอันเป็นที่น่ารังเกียจของอาคารพิพาทเป็นลักษณะสำคัญ อันเป็นที่ตั้งแห่งการวินิจฉัยที่จะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสั่งรื้อถอนอาคารพิพาท
คำว่า ” ไม่มั่นคงแข็งแรงไม่ปลอดภัย อันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน” คำว่า “อาจ” ไม่มีความหมายตรงกันกับคำว่า “น่า” เพราะโอกาสที่จะเป็นอันตราย ฯลฯ ตามความหมายแห่งถ้อยคำทั้งสองดังกล่าวนั้นต่างกัน กล่าวคือ ตามพจนานุกรมคำว่า “น่า” แปล-ว่า “ควร ฯลฯ” ซึ่งมีความหมายแน่นอนกว่า “อาจ” ซึ่งแปลงเพียงว่า”เป็นได้ ฯลฯ” เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อคดีได้ความว่า อาคารพิพาทอยู่ในสภาพมั่นคงพอที่อยู่อาศัยได้ตามปกติโดยปลอดภัย คำสั่งของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้รื้อถอนอาคารพิพาทจึงมิได้ตั้งอยู่บนเหตุผลและไม่มีมูลฐานตามกฎหมาย
คำสั่งของจำเลยที่ 891/2506 สั่งให้บริษัท น. รื้อถอนอาคารของบริษัท น. ที่โจทก์เช่าอยู่ มิได้บังคับโจทก์อย่างใด จึงไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวแก่คำสั่งนี้กับโจทก์ ฉะนั้นโจทก์จะยกขึ้นอ้างเป็นมูลฟ้องหาได้ไม่ ส่วนคำสั่งของจำเลยที่ 3643/2506 ได้อ้างถึงคำสั่งของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ 762/1 และสั่งให้โจทก์ผู้ครอบครองอาคารเลิกใช้อาคาร กับให้จัดการขนย้าย ฯลฯ โจทก์จึงมีสิทธิยกขึ้นเป็นมูลฟ้องได้
คดีมีปัญหาโต้แย้งกันขึ้นว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น มีอำนาจสั่งให้รื้อถอนอาคารพิพาทหรือไม่ และคำสั่งของจำเลยเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ซึ่งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของจำเลย ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยได้
ย่อยาว
คดี ๑๑ สำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทย์ฟ้องมีข้อความต้องกันว่า
จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลในฐาน เทศบาล มีความรับผิดเพื่อการกระทำของพนักงานเทศบาล จำเลยที่ ๒ เป็นนายกเทศมนตรีนครกรุงเทพ จำเลยที่ ๓ เป็นเทศมนตรีนครกรุงเทพ
โจทก์เป็นผู้เช่าห้องแถวของบริษัทนายเลิศ จำกัด เลขที่ ๗๖๑/๑, ๗๖๒/๓, ๗๖๒/๔, ๗๖๒/๕, ๗๖๒/๒, ๗๖๒/๖, ๗๖๒/๗, ๗๖๒/๘, ๗๖๒/๙, ๗๖๒/๑๐, ๗๔๕, ๗๕๖, ๗๖๐ และ ๗๕๘ ตามลำดับ ขณะนี้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยไม่น่าจะเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือชีวิตของผู้ใด
เดิมจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ทำการแทนจำเลยที่ ๒ มีหนังสือคำสั่งที่ ๘๙๑/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ ถึงผู้จัดการบริษัทนายเลิด ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าให้รื้ออาคารที่โจทก์เช่าอยู่ โจทย์ฟ้องคดี ศาลพิพากษาว่าจำเลยยังไม่ได้สั่งให้โจทก์เลิกใช้อาคาร ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๖ โจทก์ได้รับหนังสือคำสั่งของจำเลยที่ ๓ ในฐานะแทนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓๖๔๒/๒๕๐๖ แจ้งให้โจทก์เลิกใช้อาคารที่เช่าและขนย้ายสิ่งของออกจากอาคารที่เช่าภายในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๐๖ โจทก์จึงฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อให้ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่ ๓๖๔๓/๒๕๐๖ ของจำเลยที่ ๓ เสีย แต่ศาลแพ่งไม่ยอมรับประทับฟ้องของโจทก์โดยให้เหตุผลว่า โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวแก่การก่อสร้างได้ ตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.๒๔๗๙ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้อุทธรณ์ โจทก์จังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องศาล โจทก์จึงได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปยังคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวแก่การก่อสร้างอาคารต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๐๖ โจทก์ได้รับหนังสือ ลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๐๖ แจ้งมติของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวแก่การก่อสร้างอาคารว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของอาคาร ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ จึงมีมติให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์เสียตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ.๒๔๗๙ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๐๔ โจทก์ไม่มีทางที่จะอุทธรณ์คำสั่งต่อไปอีกได้ จึงต้องฟ้องคดีนี้
โจทก์เห็นว่า หนังสือคำสั่งที่ ๘๙๑/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ ถึงผู้จัดการบริษัทนายเลิด จำกัด สั่งให้บริษัทนายเลิด จำกัด รื้อถอนอาคารที่โจทก์เช่าอยู่อาศัยและหนังสือที่ ๓๖๔๓/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๐๖ ของจำเลยที่ ๓ ในฐานะแทนจำเลยที่ ๒ ที่ว่า เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.๒๔๗๔ จะทำการรื้อถอนอาคารที่โจทก์เช่าอยู่ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีนายช่างผู้ใดเข้าตรวจอาคารที่เช่าของโจทก์เสียก่อน และโดยที่ห้องเช่าของโจทก์ยังอยู่ในสภาพมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัย ไม่น่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย ชีวิตหรือทรัพย์สินของผู้ใดได้
เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวแก่การก่อสร้างได้มีมติยกอุทธรณ์ของโจทก์เสีย จำเลยจึงมีสิทธิที่จะเข้ารื้ออาคารที่โจทก์อยู่อาศัยได้ภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๐๖ ตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ.๒๔๗๙ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๐๔ อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ตลอดทั้งครอบครัวและบริวารเดือดร้อนเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่ ๘๙๑/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ และ ๓๖๔๓/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๐๖ ของจำเลยเสีย
จำเลยให้การว่า ห้องแถวที่โจทก์กล่าวและคำสั่งของจำเลยซึ่งโจทก์ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนั้น จำเลยได้สั่งไปโดยชอบด้วยอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร ฯลฯ กล่าวคือ อาคารนั้นไม่มั่นคงแข็งแรง ไม่ปลอดภัยซึ่งน่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน โจทก์เป็นแต่เพียงผู้เช่า ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารก็มิได้บัญญัติให้อำนาจแก่ผู้เช่าที่จะขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยได้ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้ง ๑๑ สำนวน
โจทก์ทุกสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า คำสั่งของจำเลยที่ ๓๖๔๓/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๐๖ ถึงโจทก์ทุกสำนวนไม่มีผลบังคับโจทก์ ข้อหานอกจากนี้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามทุกสำนวนฎีกา
ในประเด็นแรกที่ว่า อาคารพิพาทมีลักษณะไม่มั่นคงแข็งแรงหรือไม่ปลอดภัยซึ่งน่าจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ชีวิต หรือทรัพย์สิน อันควรรื้อถอนหรือไม่ ข้อนี้กฎหมายให้อำนาจเด็ดขาดให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีอำนาจสั้งแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้มีอำนาจสั่งในกรณีดังกล่าวแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารได้โดยเด็ดขาดเป็นถุงที่สุด ฉะนั้น ศาลจึงย่อมมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้
ที่ว่า คำสั่งของจำเลยให้รื้อถอนอาคารพิพาทนั้น ได้ตั้งอยู่บนเหตุผลและมีมูลฐานตามกฎหมายแล้วหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ปรากฏคำว่า “ฯลฯ มีสภาพชำรุดทรุดโทรมอันเป็นที่น่ารังเกียจ ฯลฯ ” ในเอกสารหมาย ล.๑ และคำพยานจำเลยเบิกความว่า อาคารที่ให้รื้อนี้ เพราะมีส่วนที่น่ารังเกียจรวมอยู่ด้วยจึงสั่งให้รื้อ เพราะในเขตเทศบาลต้องการความเรียบร้อยไม่ให้รกรุงรัง อาคารใดที่เป็นอาคารไม้เก่าแก่ ก็สมควรให้รื้อ ฯลฯ ดังนี้ ย่อมส่อแสดงอยู่ว่า ถือเอาสภาพน่ารังเกียจดังกล่าวของอาคารพิพาทเป็นลักษณะสำคัญอันเป็นที่ตั้งแห่งการวินิจฉัยแต่กฎหมายมิได้บัญญัติไว้ว่าให้ถือเอาเหตุนี้มาวินิจฉัยได้
แม้จะตัดเอาคำว่า “เป็นที่น่ารังเกียจ” ออกไป แต่คำว่าไม่มั่นคงแข็งแรง ไม่ปลอดภัย อันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน” ที่ยังคงมีอยู่อีกนั้น ก็ได้ความเพียงว่า “อาจเป็นอันตราย ฯลฯ ” เท่านั้น ซึ่งหามีความหมายตรงกันกับคำว่า “น่า” จะเป็นอันตราย ฯลฯ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.๒๔๗๙ และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๔ นั้นไม่เพราะโอกาสที่จะเป็นอันตราย ฯลฯ ตามความหมายแห่งถ้อยคำทั้งสองดังกล่าวนั้นต่างกัน กล่าวคือ เท่าที่ปรากฏตามพจนานุกรมนั้น คำว่า “น่า” แปลว่า “ควร ฯลฯ” ซึ่งมีความหมายแน่นอนกว่า “อาจ” ซึ่งแปลเพียงว่า “เป็นได้ ฯลฯ” เท่านั้น ได้ความว่าอาคารพิพาทอยู่ในสภาพมั่นคงพอที่จะอยู่อาศัยได้ตามปกติโดยปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ คำสั่งของจำเลยให้รื้อถอนอาคารพิพาทจึงมิได้ตั้งอยู่บนเหตุผลและไม่มีมูลฐานตามกฎหมาย
สำหรับคำสั่งของจำเลยที่ ๘๙๑/๒๕๐๖ จำเลยฎีกาว่า เป็นคำสั่งแก่เจ้าของอาคาร ฯลฯ ผู้เช่าจะยกเอาเหตุว่าอาคารยังมั่นคงแข็งแรง ยังไม่สมควรรื้อถอนขึ้นมาอ้างไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าเอกสารฉบับนี้เป็นคำสั่งถึงผู้จัดการบริษัทนายเลิด จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารรายพิพาท มิได้บังคับโจทก์อย่างใดไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวแก่คำสั่งนี้กับโจทก์ ฉะนั้น โจทก์นะยกขึ้นมาอ้างเป็นมูลฟ้องร้องในคดีนี้หาได้ไม่
ส่วนหนังสือของจำเลยที่ ๓๖๔๓/๒๕๐๖ ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๐๖ ที่จำเลยฎีกาว่า เป็นการแจ้งมิให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหาย มิใช่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารฯ โจทก์ไม่มีสิทธิยกขึ้นเป็นมูลฟ้องร้องคดีนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือฉบับนี้อ้างถึงคำสั่งของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ ๗๖๒/๑ และสั่งให้โจทก์ผู้ครอบครองอาคารเลิกใช้อาคารกับให้จัดการขนย้าย ฯลฯ ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร ฯลฯ นั้นเอง โจทก์จึงมีสิทธิยกขึ้นเป็นมูลฟ้องได้
ประเด็นที่ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ หรือไม่นั้น ศาลฎีกาก็ได้พิเคราะห์แล้วเช่นกัน เมื่อในคดีนี้มีปัญหาโต้แย้งกันเกิดขึ้นว่า จำเลยมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนอาคารพิพาทหรือไม่ และคำสั่งของจำเลยเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของจำเลยตามกฎหมาย ดังนี้ จึงเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยได้โดยอาศัยบทกฎหมายดังกล่าว
พิพากษายืน.