แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 รับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์ของกลางจากผู้นำเข้าจากต่างประเทศโดยยังมิได้เสียค่าภาษีและมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ อันเป็นความผิดสำเร็จในตัวอยู่แล้วต่อมาเมื่อจำเลยที่ 2 กับพวกนำเลื่อยยนต์ของกลางไปบุกรุกแผ้วถางป่าโดยมิได้รับอนุญาตย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54,72 ตรี วรรคหนึ่ง,74,74 ทวิ อีกกระทงหนึ่ง จึงเป็นความผิด 2 กรรม แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 66,768 บาท ตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯมาตรา 27 ทวิ เป็นการปรับเป็นเงิน 4 เท่า โดยรวมค่าอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละเจ็ดเข้าไปด้วยซึ่งไม่ถูกต้องเพราะตามกฎหมายให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยนั้น หมายถึง ค่าอากรตามกฎหมายภาษีศุลกากร หาได้หมายรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นภาษีฝ่ายสรรพากรด้วยไม่ ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยแก้เป็นปรับ 63,128 บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า มีผู้ลักลอบนำพาเครื่องเลื่อยยนต์ยี่ห้อสติล 1 เครื่อง ราคา 13,000 บาท อันเป็นของผลิตในต่างประเทศซึ่งจะต้องเสียค่าอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละเจ็ดรวมเป็นเงิน 3,692 บาท รวมราคาของ ค่าอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน16,692 บาท จากต่างประเทศเข้ามาโดยยังมิได้เสียค่าภาษีและมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อมาเจ้าพนักงานยึดเลื่อยยนต์ดังกล่าวได้จากจำเลยที่ 2 ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลักลอบนำพาเลื่อยยนต์ดังกล่าวจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไทย หรือมิฉะนั้นจำเลยที่ 2รับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์ดังกล่าวโดยรู้อยู่ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรและภาษีที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น และในวันเดียวกันนั้นเวลากลางวันจำเลยทั้งสามร่วมกันบุกรุกโดยใช้เลื่อยยนต์ดังกล่าวตัดต้นไม้แผ้วถางป่าเตรียมการสงวนอันเป็นการทำลายป่า ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5,6, 7, 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี, 74, 74 ทวิ ริบของกลางให้จำเลยที่ 2 จ่ายสินบนแก่ผู้นำจับและจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย กับให้จำเลยทั้งสาม คนงานผู้รับจ้างและบริวารของจำเลยทั้งสามออกไปจากป่านั้นด้วย
จำเลยทั้งสามรับสารภาพตามพระราชบัญญัติป่าไม้ตามฟ้องและจำเลยที่ 2 รับสารภาพฐานรับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์และช่วยพาเอาไปเสีย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี วรรคหนึ่ง, 74, 74 ทวิ และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษ ฐานรับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ปรับ 66,768 บาท ฐานร่วมกันแผ้วถางยึดถือครอบครองป่า จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี และปรับ 66,768 บาท ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานร่วมกันแผ้วถางยึดถือครอบครองป่า จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน และปรับ 33,384 บาท และจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 6 เดือน ให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับและจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย และให้จำเลยทั้งสาม ผู้รับจ้างและบริวารออกจากป่าตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่หากกักขังให้กักขังเพียง 1 ปี ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามมีเพียงว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทหรือหลายกรรมต่างกัน และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 รับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์ของกลางจากผู้นำเข้าจากต่างประเทศโดยยังมิได้เสียค่าภาษีและมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ อันเป็นความผิดสำเร็จในตัวอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 2 กับพวกนำเลื่อยยนต์ของกลางไปบุกรุกแผ้วถางป่าโดยมิได้รับอนุญาต ย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี วรรคหนึ่ง, 74, 74 ทวิ อีกกระทงหนึ่ง ต่างวาระกันจึงเป็นความผิด 2 กรรม ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมก็ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าเคลือบคลุมอย่างไร ทั้งไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 2 มาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 66,768 บาท ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ เป็นการปรับเป็นเงิน 4 เท่า โดยรวมค่าอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละเจ็ดเข้าไปด้วยซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะตามกฎหมายให้ปรับเป็นเงิน4 เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยนั้นหมายถึงค่าอากรตามกฎหมายภาษีศุลกากรหาได้หมายรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นภาษีฝ่ายสรรพากรด้วยไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษปรับโดยรวมค่าภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละเจ็ดมาด้วยนั้นจึงไม่ถูกต้อง ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับและจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมายนั้น ปรากฏว่าพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ไม่มีบทบัญญัติให้จ่ายสินบนกับรางวัลนำจับ และปรากฏตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 7 และ 8 ว่า สินบนและรางวัลให้จ่ายจากเงินที่ได้จากการขายของกลางซึ่งศาลสั่งริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว หากของกลางที่ศาลสั่งริบนั้นไม่อาจขายได้ให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล ซึ่งคดีนี้ไม่ปรากฏว่าไม่อาจขายของกลางได้ ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 2 จ่ายสินบนและรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับ จึงยังไม่ถูกต้องตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 2 จำนวนเงิน 63,128 บาท เมื่อรวมกับโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ เป็นจำคุก 1 ปี และปรับ 63,128 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน และปรับ 31,564 บาท ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบและจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางที่ศาลสั่งริบตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 7 และ 8 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3