คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 910/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ที่แสดงรายการตามแบบที่ยื่นรายการเสียภาษีจะไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงเจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ที่จะออกหมายเรียกให้ผู้ที่ยื่นรายการแสดงการเสียภาษีนำบัญชีหรือเอกสารหลักฐานการลงบัญชีใด ๆ ไปให้เพื่อทำการไต่สวนตรวจสอบ หากผู้นั้นขัดขืนไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก เจ้าพนักงานประเมินก็ชอบที่จะทำการประเมินภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1) และไม่มีบทบัญญัติใดในกรณีนี้บังคับว่าจะต้องทำการไต่สวนเสียก่อน
โจทก์อ้างว่าบัญชีและหลักฐานการลงบัญชีที่เก็บไว้สูญหายแต่ได้ความว่าโจทก์เพียงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอชุมแพว่า บัญชี 5 เล่ม ประจำปี 2515-2516 ของโจทก์หายไปเนื่องจากการโยกย้ายสำนักงานเท่านั้นไม่ปรากฏว่าเอกสารประกอบการลงบัญชีทุกชนิดต้นฉบับ หรือคู่ฉบับสัญญาเช่าซื้อของรอบระยะเวลาบัญชีปี2515-2516 ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินมีหมายเรียกให้โจทก์นำไปส่งมอบได้หายไปด้วย ทั้งโจทก์ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหาได้แจ้งเรื่องบัญชี 5 เล่มที่สูญหายต่อสำนักงานบัญชีให้ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24พฤศจิกายน 2515 ข้อ 15 ไม่ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำบัญชีหรือพยานหลักฐานอื่นตามหมายเรียกมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 2 ของยอดรายรับตามมาตรา 71(1) ดังกล่าว
จำเลยที่ 3 เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์เป็นสรรพากรเขต 4 สำนักงานตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ตามกฎหมายมีอำนาจทำการประเมินเรียกเก็บภาษีในจังหวัดที่อยู่ภายในเขตอำนาจ จึงรวมถึงประเมินเรียกเก็บภาษีของโจทก์ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดขอนแก่นซึ่งอยู่ในเขตอำนาจด้วย ดังนั้น การแต่งตั้งจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นกับพนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่นร่วมกันเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จึงถือว่าเป็นการชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 30(1)(ข) แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี ที่โจทก์ไม่นำบัญชีไปให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 หรือมาตรา 23 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะสมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆ หาย แต่จำเลยกลับประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ตามมาตรา 71(1) จึงขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมิน

จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

วันนัดสืบพยาน คู่ความรับข้อเท็จจริงบางประการ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อแรกมีว่า การประเมินภาษีเงินได้โจทก์ของเจ้าพนักงานประเมิน โดยที่ไม่มีการไต่สวนเสียก่อนจะเป็นการประเมินภาษีที่ชอบหรือไม่นั้น เห็นว่าในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ที่แสดงรายการตามแบบที่ยื่นรายการเสียภาษีจะไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินที่จะออกหมายเรียกให้ผู้ที่ยื่นรายการแสดงการเสียภาษีนำบัญชีหรือเอกสารหลักฐานการลงบัญชีใด ๆ ไปให้เพื่อทำการไต่สวนตรวจสอบหากผู้นั้นขัดขืนไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก เจ้าพนักงานประเมินก็ชอบที่จะทำการประเมินภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1) และก็ไม่มีบทบัญญัติใดในกรณีนี้บังคับว่าจะต้องทำการไต่สวนเสียก่อน ส่วนข้ออ้างโจทก์ที่ว่า บัญชีและหลักฐานการลงบัญชีที่เก็บไว้สูญหายนั้นได้ความว่า โจทก์เพียงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอชุมแพว่า บัญชี 5 เล่มประจำปี พ.ศ. 2515 – 2516 ของโจทก์หายไป เนื่องจากโยกย้ายสำนักงานเท่านั้น แต่ไม่ปรากฏว่าเอกสารประกอบการลงบัญชีทุกชนิด ต้นฉบับหรือคู่ฉบับสัญญาเช่าซื้อของรอบระยะเวลาบัญชี พ.ศ. 2515 ถึง 2516 ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินในเขตสรรพากรเขต 4 มีหมายเรียกตามประมวลรัษฎากร ให้โจทก์นำไปส่งมอบเพื่อทำการตรวจสอบนั้นได้หายไปด้วย ทั้งโจทก์ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหาได้แจ้งเรื่องบัญชี 5 เล่มของโจทก์สูญหายต่อสำนักงานบัญชีให้ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 15 ไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำบัญชีหรือพยานหลักฐานอื่นตามหมายเรียกมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 2 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่าได้ตามมาตรา 71(1) ดังกล่าว

ส่วนปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อต่อไปว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์เป็นคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยชอบหรือไม่ โจทก์อ้างว่าในกรณีนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดและพนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานีเท่านั้น ที่จะร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้โดยชอบ แต่การแต่งตั้งจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่นร่วมกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสรรพากร เขต 4 เป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเป็นการแต่งตั้งจำเลยที่ 2 และที่ 4 ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30(1)(ข) บัญญัติไว้ว่า “ถ้าเจ้าพนักงานประเมินผู้ทำการประเมินมีสำนักงานอยู่ในเขตจังหวัดอื่น ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทน สรรพากรเขตหรือผู้แทน และอัยการจังหวัดหรือผู้แทน” เห็นว่า จริงอยู่จำเลยที่ 3 เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์ เป็นสรรพากรเขต 4 ซึ่งสำนักงานตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี แต่ตามกฎหมายมีอำนาจที่จะทำการประเมินเรียกเก็บภาษีในจังหวัดที่อยู่ภายในเขตอำนาจ รวมถึงประเมินเรียกเก็บภาษีของโจทก์ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ได้ ดังนั้น การแต่งตั้งจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันเป็นคณะกรรมการจึงถือได้ว่าเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษายืน

Share