คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9082/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ ตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว จำเลยเองก็สามารถให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ และลายมือชื่อในเช็คพิพาทเป็นลายมือชื่อปลอม จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยหาได้หลงต่อสู้ไม่ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ และลายมือชื่อในเช็คเป็นลายมือชื่อปลอม ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าเป็นหนี้โจทก์และชำระหนี้แล้ว การที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระหนี้แล้วจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาอุบลราชธานี ลงวันที่ 23 ตุลาคม 2534 จำนวนเงิน 400,000 บาทและลงวันที่ 1 ตุลาคม 2534 จำนวนเงิน 30,840 บาท เช็คทั้งสองฉบับมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ เพราะธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ โดยครั้งแรกปฏิเสธเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2534อ้างว่า “ยังรอเรียกเก็บเงินอยู่ โปรดนำมายื่นใหม่” ครั้งที่สองปฏิเสธเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2535 อ้างว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย”หลังจากนั้นโจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินครั้งที่สองจนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 16,156.50 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 446,996.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าหนี้ตามเช็คเป็นหนี้อะไร ทำให้จำเลยเสียเปรียบและหลงต่อสู้คดีโจทก์จำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในเช็คตามฟ้อง และดอกเบี้ยตามฟ้องโจทก์คิดเกินกว่ากฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้องในเช็คตามฟ้องและดอกเบี้ยตามฟ้องโจทก์คิดเกินกว่ากฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 430,840 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 427,840 บาทนับแต่วันที่ 9 มกราคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองเพราะโจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ได้ระบุโดยแจ้งชัดว่าเป็นหนี้เกี่ยวกับอะไร ทำให้จำเลยหลงต่อสู้ไม่สามารถยื่นคำให้การได้ถูกต้อง ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้บังคับจำเลยชำระเงินให้โจทก์ เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ซึ่งจำเลยก็สามารถให้การต่อสู้ได้ โดยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ และลายมือชื่อในเช็คพิพาทเป็นลายมือชื่อปลอมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยหาได้หลงต่อสู้ไม่ฉะนั้น ฟ้องโจทก์จึงชอบกฎหมาย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นจำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยนำสืบว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น เห็นว่า จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ และลายมือชื่อในเช็คเป็นลายมือชื่อปลอมไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าเป็นหนี้โจทก์และชำระหนี้แล้ว การที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระหนี้แล้วจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน

Share