แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขายที่ดินให้ผู้เสียหาย โดยนำชี้ที่ดินแปลงอื่นว่าเป็นที่ดินตามโฉนดที่ซื้อขายกัน ซึ่งความจริงที่ตามโฉนดมีราคาซื้อขายต่ำกว่าที่นำชี้มาก โจทก์จึงฟ้องหาว่าจำเลยฉ้อโกง และขอให้คืนหรือใช้เงินที่จำเลยรับไปคืนแก่ผู้เสียหาย เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง จำเลยก็ต้องคืนเงินให้ผู้เสียหาย ส่วนที่ดินนั้น จำเลยก็ต้องดำเนินการตามสิทธิของจำเลยต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยทุจริตนำที่ดิน ๒ แปลง ของจำเลยไปหลอกขายฝากนางสุภา อยู่หุ่น และรับเงินไป ๑๐๘,๑๐๐ บาท โดยกล่าวคำเท็จหลอกลวงนำชี้ที่ดินแปลงอื่นให้นางสุภาหลงผิดว่า ที่ดินตามโฉนดเป็นที่ดินที่จำเลยนำชี้ ซึ่งความจริงที่ดินตามโฉนดมีราคาซื้อขายต่ำกว่าที่นำชี้มาก จำเลยเคยต้องโทษ ขอให้ลงโทษ และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๓๐๔, ๗๒ กับคืนเงิน ๑๐๘,๑๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา ๓๐๔ จำคุก ๓ เดือน เพิ่มโทษ ๑ ใน ๓ เป็นจำคุก ๔ เดือนลดรับสารภาพ กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๒ เดือนข้อที่ให้ใช้เงินแก่ผู้เสียหายให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลย ๑ ปี ๖เดือน ข้อเพิ่มโทษนั้น เพิ่มไม่ได้ ตาม พ.ร.บ. ล้างมลทิน ฯ ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๙ เดือน และให้คืนหรือใช้เงิน ๑๐๘,๑๐๐ บาท
จำเลยฎีกา ศาลรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายในเรื่องให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยฉ้อโกงเงินของผู้เสียหายไปก็ต้องคืนหรือใช้เงินให้แก่ผู้เสียหาย ส่วนที่ดินนั้น ถ้าผู้เสียหายไม่โอนคืนให้จำเลย จำเลยก็ชอบที่จะดำเนินการไปตามสิทธิของจำเลย
พิพากษายืน