คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องเรื่องละเมิด ต้องกล่าวแสดงว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
เมื่อฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวว่าจำเลยได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์ประการใดเลย เป็นแต่กล่าวลอย ๆ ว่า จำเลยทำเช่นนั้น ทำเช่นนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นการกระทำในหน้าที่ราชการของจำเลยทั้งสิ้น คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172
ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาทำลายคำสั่งของรัฐมนตรีสั่งราชการแทนนายรัฐมนตรี แต่มิได้ฟ้องสำนักนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้องกับคำสั่งให้รับผิดด้วย ย่อมบังคับไม่ได้ตามคำขอนี้
คำขอท้ายฟ้องที่ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้สั่งโจทก์ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลศาลบังคับให้ไม่ได้ เพราะการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นอำนาจของทางการจะสั่งโดยพิเคราะห์ถึงความเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องของศาลที่จะสั่ง
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5 และที่ 8/2502)

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษา
๑. ทำลายคำสั่งของจำเลยที่สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ โจทก์และคำสั่งของจำเลยที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ
๒. ทำลายคำสั่งของนายชม จารุรัต รัฐมนตรีสั่งราชการแทนนายกรัฐมนตรีที่ได้สั่งยกเรื่องราวร้องทุกข์ของโจทก์
๓. บังคับจำเลยให้สั่งโจทก์เดินทางไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดแม่สะเรียงตามคำสั่งของจำเลยสืบไป
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยได้ลงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์ประการใด เป็นแต่กล่าวมาลอย ๆ ว่า จำเลยกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นหน้าที่ในราชการของจำเลยทั้งสิ้น ฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุก คำขอต่าง ๆ ของโจทก์ก็เป็นคำขอที่จะมาใช้สิทธิทางศาลไม่ได้ เพราะจำเลยกระทำไปตามอำนาจซึ่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการให้ไว้ และตามอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจ และโจทก์มิได้ฟ้องเข้ามาให้รับผิดด้วย การที่โจทก์จะขอเข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าศาล ก็จะให้ศาลบังคับจำเลยไม่ได้ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามคำขอท้ายฟ้อง ข้อ (๒) โจทก์มิได้ฟ้องสำนักนายกรัฐมนตรีหรือนายชม จารุรัตน์ ผู้เกี่ยวข้องกับคำสั่งให้รับผิดด้วย จึงบังคับไม่ได้ตามคำขอนี้
ส่วนคำขอ ข้อ (๓) ที่ให้ศาลบังคับจำเลยให้สั่งโจทก์ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาล บังคับให้ไม่ได้ เพราะการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นอำนาจของทางการ จะสั่งโดยพิเคราะห์ถึงความเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องของศาลที่จะสั่ง
สำหรับคำขอ ข้อ (๔) เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์กล่าวหาเป็นเรื่องละเมิด ต้องกล่าวแสดงว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายตา ม.๔๒๐ แห่งป.พ.พ. แต่ฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวว่าจำเลยได้ลงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์ประการใดเลย เป็นแต่กล่าวลอย ๆ ว่าจำเลยทำเช่นนั้นทำเช่นนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นการกระทำในหน้าที่ราชการของจำเลยทั้งสิ้น คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งขัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๒
พิพากษายืน

Share