คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยทั้งสามกล่าวหาโจทก์ว่าละเลยไม่ทำบัญชีทรัพย์มรดก ไม่รายงานแสดงบัญชีการจัดการและไม่แบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย ให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสามว่า ละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดก มิได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายในเวลาและตามแบบที่กำหนดไว้ ไม่ทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยทั้งสามไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดก คดีก่อนกับคดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาทคนละอย่างคนละเหตุกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
ปัญหาที่ว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนหรือไม่จำเลยเพิ่งหยิบยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 249 และศาลฎีกาย่อมไม่เห็นสมควรยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัย.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนจำเลยทั้งสามออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และให้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแทน
จำเลยทั้งสามให้การว่า นับแต่จำเลยทั้งสามทราบคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีหมายเลขดำที่ 317/2523 คดีหมายเลขแดงที่ 711/2526เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2526 จำเลยทั้งสามได้ทวงถามโจทก์ในเรื่องรายการทรัพย์สินมรดก แต่ได้รับการปฏิเสธจากโจทก์อ้างว่าคดียังไม่ถึงที่สุด จำเลยทั้งสามจึงทำบัญชีทรัพย์มรดกที่ถูกต้องและตามที่กฎหมายกำหนดไม่ได้ คดีดังกล่าวศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2530 จำเลยทั้งสามทวงถามให้โจทก์ส่งมอบหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัพย์มรดกอีก แต่โจทก์เพิกเฉย การจัดการทรัพย์สินมรดกบางส่วนของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ที่โจทก์อ้างว่าส่อไปในทางทุจริต จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนร่วมกระทำแต่อย่างใด การทะเลาะกันระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2ก็ไม่เป็นความจริง โจทก์จะแบ่งทรัพย์มรดกให้ตนเองครึ่งหนึ่งก่อนที่เหลือมาแบ่งให้ทายาททุกคนส่วนละเท่า ๆ กัน โจทก์มีเจตนาไม่สุจริต ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์มรดกและทายาทอื่น ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์และจำเลยแล้ว โจทก์และจำเลยรับกันว่าศาลฎีกาได้พิพากษาให้เพิกถอนโจทก์และนายกิตติ แซ่ตั้ง ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายและตั้งให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1407/2530 อ่านเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2530เอกสารหมาย ล.1 ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย และวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 711/2526ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลฎีกาพิพากษาแล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1407/2530พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามรูปความ
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 711/2526 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลฎีกาพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1407/2530 หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีก่อนจำเลยทั้งสามกล่าวหาโจทก์ว่าละเลยไม่ทำบัญชีทรัพย์มรดก ไม่รายงานแสดงบัญชีการจัดการตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย คดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้และไม่แบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย คือวันที่ 3 กรกฎาคม 2521 ให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย คดีถึงที่สุดแล้วคดีนี้โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดก จำเลยทั้งสามมิได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายในเวลาและตามแบบที่กำหนดไว้ ไม่ทำรายงานแสดงบัญชีจัดการและแบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคือวันที่ 9 กันยายน 2526 จำเลยทั้งสามไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดก คดีก่อนกับคดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาทคนละอย่างคนละเหตุกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกาอีกข้อว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนเพราะโจทก์ฟ้องคดีนี้ก่อนศาลฎีกาพิพากษาคดีก่อน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3เพิ่งหยิบยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ทั้งศาลฎีกาไม่เห็นควรยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยด้วย”
พิพากษายืน

Share