คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2480

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หน้าที่นำสืบในคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดนั้นเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบว่าได้เสียหายไปจริงตามฟ้องมิฉะนั้นศาลจะกะให้ตามจำนวนที่เห็นสมควรค่าจ้างทนายและค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดีอาญานั้นไม่ใช่ค่าเสียหายที่โจทก์จะพังเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม. 93(1) (2) ชื่อสำเนาเอกสารเป็นพะยานถ้าอีกฝ่ายหนึ่งมิได้รับรองว่าสำเนานั้นถูกต้องและตั้งผู้อ้างมิได้ขออนุญาตต่อศาลเสียก่อนดังนี้ศษลไม่รับฟังสำเนาเอกสารข้อเป็นหลักฐาน

ย่อยาว

เรื่องนี้เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นความอาญา หาว่าเลียนแบบเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับแปรงสีฟันของโจทก์ ศาลฎีกาตัดสินว่าจำเลยมีความผิดจริง จึงให้ลงโทษ คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นความแพ่งเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยละเมิดสิทธิของโจทก์เป็นจำนวน ๑๘๐๐ บาทและเรียกค่าจ้างทนายว่าความในคดีอาญา ๘๐๐ บาท ค่าพาหนะในการนำจับและนำพะยานไปศาล ๑๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๒๕๐ บาท ส่วนคำขอของโจทก์ข้ออื่นให้ยก
โจทก์ฎีกาขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์เต็มตามฟ้อง
ศาลฎีกาตัดสินว่าเรื่องนี้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเสียหายไปจริงตามฟ้อง เพราะฉะนี้ค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกะมา จึงเป็นการชอบแล้ว ส่วนในข้อที่โจทก์ฎีกาว่าศาลควรรับสำเนา บัญชีของโจทก์เป็นหลัก,ฐานนั้นเห็นว่าตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยื่นสำเนาบัญชีหรือเอกสารเป็นพะยานฝ่ายนั้นต้องขออนุญาตต่อศษลก่อน เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งรับรองว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว แต่คดีนี้จำเลยมิได้รับรับรองเช่นนั้นทั้งโจทก์ก็มิได้ขออนุญาตต่อศาลขอนำสำเนาบัญชีมาเป็นหลักฐานแทนต้นฉะบับ ฉะนั้นที่ศาลล่างไม่รับสำเนาบัญชีหลักฐานจังเป็นการชอบแล้ว ส่วนในเรื่องค่าทนายและค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดีอาญานั้นเห็นว่า ไม่ใช่ค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยละเมิดสิทธิของโจทก์โดยตรง ไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่โจทก์จะต้องฟ้องจำเลยทางอาญาเพื่อป้องกัน สิทธิของตนและทั้งไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าจำเลยในคดีอาญาจะต้องรับผิดชอบใช้ค่าธรรมเนียมหรือค่าทนายให้โจทก์ไม่ว่าในคดีแพ่งหรืออาญา จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง ให้ยกฎีกาโจทก์เสีย

Share