แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเห็นว่าศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีไม่ถูกต้อง จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีได้ และเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการออกหมายบังคับคดีโดยผิดหลงก็มีคำสั่งให้ยกเลิกหมายบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคหนึ่ง, 341 ลงโทษจำคุกรวม 5 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,939,063 บาท แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง จำเลยอุทธรณ์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์จำเลยตามคำขอของโจทก์ร่วมทั้งสองแต่ต่อมาศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการออกหมายบังคับคดีโดยผิดหลงจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนหมายบังคับคดีดังกล่าว
โจทก์ร่วมทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาข้อเดียวว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีและโจทก์ร่วมได้ทำการยึดทรัพย์บางส่วนแล้ว หากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้อง จำเลยต้องอุทธรณ์เมื่อจำเลยไม่อุทธรณ์กลับยื่นคำร้องให้ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนจึงไม่ถูกขั้นตอน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดีจึงไม่ถูกต้อง เห็นว่า เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเห็นว่าศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีไม่ถูกต้อง จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้มีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีได้และเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการออกหมายบังคับคดีโดยผิดหลงก็มีคำสั่งให้ยกเลิกหมายบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
พิพากษายืน