คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9034/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ได้สั่งซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยชำระค่าจองรถยนต์รวมทั้งค่ารถยนต์บางส่วน และได้รับมอบรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่โจทก์ก็ยืนยันว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อไว้กับบริษัท ธ. จำกัด อันแสดงโดยแจ้งชัดว่าโจทก์ได้ยอมรับแล้วว่าบริษัท ธ. จำกัด เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาท หาใช่จำเลยที่ 1 ไม่ มิฉะนั้นโจทก์คงไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายงวดให้แก่บริษัท ธ. จำกัด ตลอดมา โดยบริษัทดังกล่าวได้ออกใบเสร็จรับเงินให้ทุกงวด แม้แต่ค่าจองรถยนต์ จนกระทั่งโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับบริษัท ธ. จำกัด ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้รับมอบรถยนต์ไว้ โจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงหาได้มีนิติสัมพันธ์ตามลักษณะของสัญญาซื้อขายกันไม่ ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ก็ไม่ปรากฏว่า มีความผูกพันกับโจทก์ตามสัญญาใดที่จะทำให้ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรถยนต์คันพิพาทต่อโจทก์ ลำพังเพียงการรับประกันว่า หากรถยนต์ที่จำหน่ายมีปัญหาสามารถส่งซ่อมได้ที่ศูนย์บริการตัวแทนจำหน่ายและที่ศูนย์ของจำเลยที่ 2 มิได้หมายความว่าจำเลยที่ 2 ผูกพันต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ที่โจทก์ได้รับมอบมาตามสัญญาเช่าซื้อ เพราะความรับผิดในกรณีทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อชำรุดบกพร่องโจทก์ย่อมเรียกร้องได้จากผู้ให้เช่าซื้อโดยตรง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องแห่งทรัพย์สินที่เช่าซื้ออันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาเช่าซื้อนั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาซื้อขาย จำนวน ๑,๘๗๕,๓๓๐.๗๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า … พิเคราะห์แล้ว คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง หรือไม่ โจทก์ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์ได้รับรถยนต์คันพิพาทด้วยการซื้อจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายของจำเลยที่ ๒ ตามความประสงค์ของโจทก์เอง แต่ที่ต้องผูกพันในสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทธนบุรีพานิชลิสซิ่ง จำกัด ก็เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถหาเงินสดมาชำระค่ารถยนต์ให้แก่จำเลยที่ ๑ ได้ บริษัทธนบุรีพานิชลิสซิ่ง จำกัด จึงเป็นคู่กรณีเพราะความ ขัดข้องในการชำระหนี้เท่านั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง เห็นว่า จริงอยู่ แม้โจทก์ได้สั่งซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย จ.๓ โดยชำระค่าจองรถยนต์รวมทั้งค่ารถยนต์บางส่วน เป็นเงิน ๒๙๙,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๖ และได้รับมอบรถยนต์จากจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย จ.๕ ก็ตาม แต่โจทก์ก็เบิกความโดยอ้าง ตนเองเป็นพยานยืนยันว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อไว้กับบริษัทธนบุรีพานิชลิสซิ่ง จำกัด เป็นเงิน ๒,๙๒๙,๙๐๖.๓๒ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๗ อันแสดงโดยแจ้งชัดว่า โจทก์ได้ยอมรับแล้วว่า บริษัทธนบุรีพานิชลิสซิ่ง จำกัด เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาท หาใช่จำเลยที่ ๑ ไม่ มิฉะนั้นโจทก์คงไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายงวดให้แก่บริษัทธนบุรีพานิชลิสซิ่ง จำกัด ตลอดมา โดยบริษัทดังกล่าวได้ออกใบเสร็จรับเงินให้ทุกงวด แม้แต่ค่าจองรถยนต์ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๑๐ ถึง จ.๑๓ จนกระทั่งโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับบริษัทธนบุรีพานิชลิสซิ่ง จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.๑๖ ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้รับมอบรถยนต์ไว้ ตามเอกสารหมาย จ.๑๗ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงหาได้มีนิติสัมพันธ์ตามลักษณะของสัญญาซื้อขายกันแต่ประการใดไม่ ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นั้น ตามทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่า มีความผูกพันกับโจทก์ตามสัญญาใด ที่จะทำให้ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรถยนต์คันพิพาทต่อโจทก์ ลำพังเพียงการ รับประกันว่า หากรถยนต์ที่จำหน่ายมีปัญหา สามารถส่งซ่อมได้ที่ศูนย์บริการตัวแทนจำหน่ายและที่ศูนย์ของจำเลยที่ ๒ มิได้หมายความว่า จำเลยที่ ๒ ผูกพันตนต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ที่โจทก์ได้รับมอบมาตามสัญญาเช่าซื้อ เพราะความรับผิดในกรณีทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อชำรุดบกพร่อง โจทก์ย่อมเรียกร้องได้จากผู้ให้เช่าซื้อโดยตรง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องแห่งทรัพย์สินที่เช่าซื้อ อันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาเช่าซื้อนั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ .

Share