คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์โจทก์เคยขอให้ทางอำเภอเรียกจำเลยไปตกลงเรื่องค่าเช่าที่พิพาทที่ค้างชำระจำเลยโต้แย้งว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแสดงว่านับแต่นั้นเป็นต้นไปจำเลยได้แย่งการครอบครองที่พิพาทไปจากโจทก์แล้วเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเมื่อเกิน1ปีนับจากนั้นโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายทรัพย์สิน และบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสามให้การว่าไม่เคยเช่าที่ดินจากโจทก์ สัญญาเช่าท้ายฟ้องเป็นสัญญาปลอม จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ครอบครองที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี จึงได้สิทธิครอบครอง คดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งทางราชการออกให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2509 และยังไม่มีการออกโฉนดให้แก่ผู้ใด ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ขายฝากให้แก่นางสาวแตงอ่อนชัยมงคล มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2510 นางสาวแตงอ่อนได้ขายให้แก่นางมณฑา ศรีสันต์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2512และนางมณฑาได้ขายให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2513 โจทก์ได้ร้องขอต่ออำเภออู่ทอง เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2519 ให้ทางอำเภอเรียกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ไปตกลงในเรื่องค่าเช่าที่พิพาทในปี 2517และ 2518 ที่ค้างชำระ จำเลยที่ 1 ที่ 3 โต้แย้งว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ทางอำเภอจึงแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายไปฟ้องร้องต่อศาลเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์กันต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้โต้แย้งโจทก์ว่าเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาทตามบันทึกของอำเภออู่ทอง ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ดังนั้นถึงแม้โจทก์จะมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3โต้แย้งโจทก์ว่าตนเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาทซึ่งแสดงว่าได้เข้าแย่งการครอบครองที่พิพาทไปจากโจทก์แล้วเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม2519 โจทก์จึงต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นภายใน 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 แต่โจทก์เพิ่งฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2525ซึ่งเกินกว่ากำหนดเวลา 1 ปี โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท
พิพากษายืน.

Share