คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จำเลยต่างมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินกันครอบครองโดยเด็ดขาด เมื่อจำเลยโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 และแม้การแลกเปลี่ยนที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยจะตกเป็นโมฆะ เพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 ประกอบมาตรา 519 ก็ตาม แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างได้สละการครอบครองและส่งมอบที่ดินให้อีกฝ่ายยึดถือครอบครองแล้วเช่นนี้ โจทก์และจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินส่วนนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 มาตรา 1377 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1378
แม้ที่ดินพิพาทจะถูกเวนคืนไปแล้ว และโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินและโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนให้แก่โจทก์ เนื่องจากสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินตกเป็นโมฆะก็ตาม แต่ศาลฎีกาก็เห็นสมควรพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวในขณะที่ที่ดินถูกเวนคืน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการรับเงินค่าทดแทนจากทางราชการซึ่งไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เพราะเป็นสิทธิอย่างเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลงที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับที่ดินของจำเลยโดยเนื้อที่ครึ่งหนึ่งอยู่ในเขตที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 992 ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในเขตที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ เมื่อต้นปี 2539 ทางราชการประกาศให้เจ้าของที่ดินยื่นคำร้องขอรังวัดเพื่อรับเงินชดเชยและ ค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนเพื่อสร้างเขื่อน โจทก์และจำเลยจึงตกลงกันว่า ผู้ใดครอบครองที่ดินส่วนไหนก็จะรับเงินส่วนนั้น เมื่อโจทก์รับเงินชดเชย ส่วนที่จำเลยครอบครองจากทางราชการจำนวน 69,712 บาทแล้ว โจทก์จึงมอบให้ แก่จำเลยครบถ้วน แต่เมื่อทางราชการจะจ่ายเงินชดเชย ส่วนที่โจทก์ครอบครอง จำเลยบอกปัดไม่ยอมรับเงิน ดังกล่าวมามอบให้แก่โจทก์ โดยจำเลยจะขอรับเงินดังกล่าวแต่ผู้เดียว ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ส่วนที่โจทก์ครอบครองเนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 15 ตารางวา และโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนแก่โจทก์ กับให้จำเลยรับโอนที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 992 ส่วนที่จำเลยครอบครองเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 15 ตารางวา จากโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามไม่ให้จำเลยเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์และจำเลยมิได้มีเจตนาแลกเปลี่ยนที่ดินตามฟ้องกัน แต่เป็นการแลกกันทำประโยชน์ที่ดินเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินของจำเลย เมื่อทางราชการประกาศเวนคืนที่ดิน จำเลยไปขอรับเงินชดเชยและค่าทดแทน แต่โจทก์ไปคัดค้าน ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์เลิกยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของจำเลย กับถอนคำคัดค้านของโจทก์ที่คัดค้านการขอรับเงินชดเชยและค่าเวนคืนที่ดินของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์และจำเลยตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินตามฟ้องและแบ่งแยกกันครอบครองมา นานกว่า 10 ปี ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ส่วนที่โจทก์ครอบครองเนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 15 ตารางวา และโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนแก่โจทก์ ให้จำเลยรับโอนที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 992 ส่วนที่จำเลย ครอบครองเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 15 ตารางวา จากโจทก์หากไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา (ของจำเลย) ห้ามมิให้จำเลยเข้าไปยุ่งเกี่ยวที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ในส่วน ที่โจทก์ครอบครองเนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 15 ตารางวา และโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนแก่โจทก์ และคำขอที่ให้จำเลย รับโอนที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 992 ในส่วนที่จำเลยครอบครอง จากโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนเจตนาของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ถึงแก่กรรม นางแพง ศรีบำรุง ภรรยาโจทก์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็น คู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 992 ส่วนจำเลยมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ที่ดินทั้งสองแปลงนี้มีอาณาเขตติดต่อกัน เดิมโจทก์และจำเลยต่างครอบครองและทำประโยชน์อยู่ในที่ดิน น.ส. 3 ก. ของตน ต่อมาโจทก์และจำเลยได้ตกลง แบ่งที่ดิน น.ส. 3 ก. แต่ละแปลงออกเป็น 2 ส่วน แล้วโจทก์เข้าไปครอบครอง ทำนาอยู่ในที่ดินทั้งสองแปลงส่วนที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ส่วนจำเลยเข้าไปครอบครองทำนาและเลี้ยงปลาอยู่ในที่ดินทั้งสองแปลงส่วนที่อยู่ทางด้าน ทิศตะวันออก ต่อมาที่ดินทั้งสองแปลงนี้ได้ถูกเวนคืนเพื่อสร้างเขื่อน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์เป็น ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ตำบลชัยบาดาล อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ด้านทิศตะวันตก ตามแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ. 1 ในขณะที่ที่ดินถูกเวนคืนหรือไม่ เห็นว่า จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความลอย ๆ เพียงปากเดียว ฝ่ายโจทก์นอกจากมีตัวโจทก์เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงแล้ว โจทก์ยังมีนายดำรงค์ กำนันตำบลชัยบาดาล นายสุวรรณ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลเดียวกัน นายประกอบเจ้าของที่ดินข้างเคียง ด้านทิศตะวันตก และนายแช เจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านทิศเหนือ เป็นพยานเบิกความสนับสนุน พยานโจทก์เหล่านี้ ต่างก็รู้จักกับโจทก์และจำเลยเป็นอย่างดี และไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้สงสัยว่าจะมาเบิกความ ช่วยเหลือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แม้พยานโจทก์เหล่านี้จะมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ขณะที่โจทก์และจำเลยพูดตกลงแบ่งหรือ แลกเปลี่ยนที่ดินกัน แต่พยานโจทก์เหล่านี้ก็เบิกความยืนยันว่า พยานเห็นโจทก์ครอบครองที่ดินตามส่วนที่ปรากฏในแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 มานานสิบกว่าปีแล้ว โดยไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านซึ่งกันและกัน (แลกเปลี่ยน) การครอบครองที่ดินกันระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นที่ทราบกันดี โดยเฉพาะนายประกอบได้เบิกความ ยืนยันว่า หลังจากที่พยานเห็นโจทก์เข้าไปไถนาในที่ดินแปลงของจำเลย พยานก็ได้สอบถามโจทก์ โจทก์บอกว่าได้แลกเปลี่ยนที่ดินกับจำเลย เนื่องจากจำเลยจะขุดบ่อเลี้ยงปลา ส่วนโจทก์จะทำนา และพยานได้สอบถามว่าแบ่งกัน แค่ไหน โจทก์บอกว่าแบ่งกันแค่ร่องน้ำซึ่งผ่ากลางระหว่างที่ดินที่ทั้งสองฝ่ายครอบครองตามคำเบิกความของ นายประกอบดังกล่าวน่าเชื่อถือได้ว่านายประกอบได้สอบถามโจทก์ในขณะที่มีการแลกเปลี่ยนที่ดินกันใหม่ ๆ ซึ่งในขณะนั้นโจทก์และจำเลยยังไม่มีข้อพิพาทกัน น่าเชื่อว่าโจทก์เล่าให้นายประกอบฟังตามความสัตย์จริง จึงเป็นการสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ข้อที่ว่าโจทก์และจำเลยได้ตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินกันให้มีน้ำหนักน่ารับฟังยิ่งขึ้น นอกจากนี้นายแชยังได้เบิกความยืนยันอีกว่า หลังจากโจทก์และจำเลยตกลงแบ่งที่ดินกันครอบครองตามแนวขวางตามแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 แล้ว ได้มีการยกคันนากั้นเป็นแนวเขตด้วย ซึ่งก็สอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวข้างต้น เห็นว่า แม้คันนาดังกล่าวจะใช้ประโยชน์ในการกักเก็บน้ำเพื่อปลูกข้าวตามที่จำเลยฎีกา แต่ในขณะเดียวกันคันนาดังกล่าวย่อมใช้เป็นแนวแบ่งเขตที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยไปในตัวด้วย แม้จะปรากฏว่า ที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ของจำเลยจะอยู่ใกล้ถนนสายม่วงค่อม – ด่านขุนทด มากกว่าที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 992 ของโจทก์ แต่ระหว่างที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 กับถนนดังกล่าว ก็มีที่ดินของนางจันทร์หอม คั่นอยู่ ที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 จึงไม่มีทางออกไปสู่ถนนสายดังกล่าวได้ ดังนั้น ขณะที่แลกเปลี่ยนที่ดินกัน ที่ดินทั้งสองแปลงไม่น่าจะมีราคาแตกต่างกันมากนัก และแม้ว่าที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 จะมีเนื้อที่มากกว่าที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 992 แต่ก็เป็นจำนวนเล็กน้อยเพียง 33 ตารางวา เท่านั้น แต่เนื่องจากที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 992 ของโจทก์มีสภาพเหมาะแก่การขุดบ่อเลี้ยงปลายิ่งกว่าที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ของจำเลย ประกอบกับโจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน การที่โจทก์และจำเลยตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินกันตามแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัยดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกา ตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงมีเหตุผลน่าเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินกันตามแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 โดยเด็ดขาด มิใช่เป็นการแลกที่ดินกันทำกิน ชั่วคราวตามที่จำเลยอ้าง เมื่อจำเลยโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์ซึ่งมีอยู่ในที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ของจำเลย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้โต้แย้งสิทธิได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ และแม้ว่าการแลกเปลี่ยนที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยจะตกเป็นโมฆะเพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 ประกอบมาตรา 519 ก็ตาม แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างได้สละการครอบครองและส่งมอบที่ดินให้อีกฝ่ายยึดถือครอบครองแล้วเช่นนี้ โจทก์และจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินส่วนนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 มาตรา 1377 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1378 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แม้ที่ดินพิพาทจะถูกเวนคืนไปแล้ว และโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยไปแบ่งแยกที่ดินและโอนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนให้แก่โจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องเนื่องจากสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินตกเป็นโมฆะดังวินิจฉัยข้างต้นก็ตาม แต่ศาลฎีกาก็เห็นสมควรพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวในขณะที่ที่ดินถูกเวนคืนทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการรับเงินค่าทดแทนจากทางราชการซึ่งไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เพราะเป็นสิทธิอย่างเดียวกันและเห็นสมควรให้โจทก์มีสิทธิครอบครองในเนื้อที่เพียงเท่าที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องซึ่งไม่ถึงครึ่งหนึ่งของที่ดิน น.ส. 3. ก. เลขที่ 993 ตามที่ได้ความตามทางพิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์โดยมิได้พิพากษาให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 บางส่วนในขณะ ถูกเวนคืนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 993 ตำบลชัยบาดาล อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ทางด้าน ทิศตะวันตกบางส่วนตามแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 คิดเป็นเนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 15 ตารางวา ในขณะที่ที่ดินแปลงดังกล่าวถูกเวนคืน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share