คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานโจทก์ไม่มีใครรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ได้ช่วยจำเลยที่ 4 แบ่งบรรจุเฮโรอีนใส่หลอดพลาสติก ที่อ้างว่าทำการสืบสวนทราบมาก็ไม่ได้ความว่าสืบสวนมาอย่างไรและเหตุใดไม่ดำเนินการจับกุมก่อนหน้านั้นต้องรอมาจนถึงวันเกิดเหตุ เฮโรอีนของกลางที่สิบตำรวจเอกวและวนำมาซุกซ่อนในบ้านเกิดเหตุอาจมีการบรรจุหลอดพลาสติกมาก่อนแล้วก็ได้ การที่จำเลยที่ 1 พูดห้ามจำเลยที่ 4 ไม่ให้เปิดประตูบ้านให้เจ้าพนักงานเข้าตรวจค้นในเวลา 24 นาฬิกาและมีการดับไฟในบ้านด้วยนั้น จำเลยที่ 1 อาจเข้าใจว่าเป็นผู้อื่นอ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานเพื่อมา กระทำการโดยมิชอบก็ได้พยานหลักฐานโจทก์ยังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ได้กระทำผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสาม เจ้าพนักงานแสดงตัวขอเข้าตรวจค้นยาเสพติดในบ้านเกิดเหตุโดยขอให้จำเลยที่ 4 เปิดประตู จำเลยที่ 4 ไม่ยอมเปิดจำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้จำเลยที่ 4 เปิดประตูพร้อมกับเรียกจำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้าน จากนั้นไฟฟ้าในบ้านดับลงโดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนดับ เมื่อไม่ได้ ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 ทำการอื่นใดนอกจากนี้ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำการใดบ้าง จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 กระทำความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3อยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วย ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 4ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 138, 140 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2519 มาตรา 16และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ปฏิเสธข้อหาขัดขวางไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคแรก ประกอบมาตรา 140 วรรคแรก พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 มาตรา 16 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ข้อหาขัดขวางไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคแรก ประกอบมาตรา 140 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต รวมแล้วคงจำคุกจำเลยทั้งสี่ไว้ตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(3) จำเลยที่ 4 รับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐานไม่สมควรลดโทษให้ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง,66 วรรคสอง, 102 จำคุกตลอดชีวิต และมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 มาตรา 16จำคุก 6 เดือน คำรับสารภาพของจำเลยที่ 4 เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78, 53 จำคุก 25 ปีรวมจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 25 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1มีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2519 มาตรา 16 จำคุก 6 เดือน ริบของกลางยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในข้อหาอื่นนอกจากนี้ และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาประการแรกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 4 กระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่เห็นว่า ก่อนจำเลยทั้งสี่ถูกจับกุมได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดว่า จากการสืบสวนทราบว่าสิบตำรวจเอกวิลาศกับนางวาสนา ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนโดยนำมาซุกซ่อนและแบ่งบรรจุใส่หลอดพลาสติกเบอร์ 5 ที่บ้านเกิดเหตุมีจำเลยทั้งสี่ซึ่งพักอาศัยอยู่ด้วยช่วยบรรจุ และในการจับกุมได้ความจากคำเบิกความของนายสมประสงค์ นายเฉลิม เจ้าพนักงานสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และร้อยตำรวจตรีสุเชาว์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรปราการผู้ทำการจับกุมว่า เมื่อพากันไปถึงบ้านที่เกิดเหตุเวลาประมาณ 24 นาฬิกา ประตูเหล็กยึดหน้าบ้านปิดอยู่ชั้นล่างเปิดไฟฟ้าไว้ นายสมประสงค์เข้าไปดูเห็นจำเลยที่ 4เดินอยู่ภายในห้องด้านหลังของชั้นล่าง จึงแสดงตัวขอเข้าไปตรวจค้นยาเสพติดภายในบ้านจำเลยที่ 4 ไม่ยอมเปิดประตูให้เข้าไปและจำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้เปิดพร้อมกับเรียกจำเลยที่ 4ให้เข้าไปในบ้านหลังจากนั้นไฟฟ้าภายในบ้านได้ดับลง พยานช่วยกันเรียกให้เปิดประตูให้เข้าไปตรวจค้นแต่โดยดีก็ไม่ยอมเปิดจึงต้องปีนขึ้นชั้นบนเข้าทางระเบียงด้านหน้าพังประตูชั้นสองเข้าไปตรวจค้นจับกุม พยานโจทก์ดังกล่าวมาไม่มีใครรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ได้ช่วยจำเลยที่ 4 แบ่งบรรจุเฮโรอีนใส่หลอดพลาสติก และที่พยานสืบสวนมาก็ไม่ได้ความว่าสืบมาอย่างไรจากใครเมื่อรู้ก่อนนานแล้วทำไมไม่ดำเนินการจับกุม เพราะเหตุใดจะต้องรอมาจนถึงวันเกิดเหตุ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ถูกกล่าวหาจึงน่าเป็นเพราะอยู่ด้วยกันจำเลยที่ 4 ในบ้านเกิดเหตุมากกว่า เมื่อได้ความว่าเฮโรอีนของกลางสิบตำรวจเอกวิลาศกับนางวาสนานำมาซุกซ่อนในบ้านเกิดเหตุอาจมีการบรรจุหลอดพลาสติกมาก่อนแล้วก็ได้ และตามวิสัยของการกระทำผิดอันร้ายแรงเช่นนี้ ชอบที่สิบตำรวจเอกวิลาศ นางวาสนาและจำเลยที่ 4ต้องปิดบังไว้ไม่น่าให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ล่วงรู้ไปได้แม้จะอยู่บ้านเรือนเดียวกันก็ตาม ส่วนการที่จำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้จำเลยที่ 4 เปิดประตูบ้านเพื่อให้พยานเข้าไปตรวจค้นและมีการดับไฟฟ้าภายในบ้านนั้นเมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลาวิกาลประมาณ 24 นาฬิกา พยานแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานอยู่นอกบ้าน จำเลยที่ 1 อาจเข้าใจเป็นผู้อื่นที่อ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานเพื่อเข้ามา กระทำการในบ้านโดยมิชอบก็เป็นได้ฉะนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จะได้กระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่อันจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140 และจำเลยที่ 2 ที่ 3ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่อันจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 มาตรา 16 หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาได้ความเพียงว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสี่อยู่ภายในบ้านเกิดเหตุด้วยกัน ระหว่างนั้นพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานแสดงตัวขอเข้าไปตรวจค้นยาเสพติดภายในบ้านดังกล่าว โดยขอให้จำเลยที่ 4 เปิดประตู จำเลยที่ 4 ไม่ยอมเปิดและจำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้เปิดพร้อมกับเรียกจำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้านหลังจากนั้นไฟฟ้าภายในบ้านก็ดับลงไม่ทราบว่าใครเป็นคนดับเมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 กระทำการอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้กระทำการอันสดบ้างการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 4 จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3อยู่ภายในบ้านเกิดเหตุด้วยจะถือว่าได้ร่วม กับจำเลยที่ 1 ที่ 4ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำความผิดฐานขัดขวางและไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่
พิพากษายืน

Share