คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการจับนั้น เจ้าพนักงานหรือราษฎรซึ่งทำการจับต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับนั้นว่าเขาต้องถูกจับ จำเลยกับพวกมิได้บอกว่าโจทก์จะต้องถูกจับ เพียงแต่แจ้งว่าจะเอาไปสอบสวนคดีใหม่ และไม่ได้บอกด้วยว่าคดีอะไร โจทก์เข้าใจว่าเอาไปสอบสวนเพิ่มเติมคดีเรื่องโคของโจทก์หายที่เคยแจ้งความไว้ จึงได้ไปกับจำเลย ดังนี้ ถือว่าเป็นการจับโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่
จำเลยเป็นตำรวจตำแหน่งสารวัตรใหญ่ โกรธแค้นโจทก์ที่มีหนังสือร้องเรียนถึงผู้กำกับฯ กล่าวหาว่าจำเลยรับสินบนจากผู้ต้องหา 2 คน ข้อหาลักทรัพย์ของโจทก์แล้วสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาสองคนนั้น จำเลยกับตำรวจอื่นที่สถานีเดียวกันได้นำตัวโจทก์ไปโดยอ้างว่าจะพาไปสอบสวนคดีใหม่แต่พาโจทก์ไปที่บ้านพักตำรวจแห่งหนึ่ง แล้วทำร้ายโจทก์และใส่กุญแจมือแล้วพาโจทก์ไปควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจดังนี้ เป็นการกระทำที่ลุอำนาจและเกินความเหมาะสมในการจับกุม เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่รอการลงโทษจำคุกแต่โทษคงเดิม ดังนี้จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา219 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นสารวัตรใหญ่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3ซึ่งเป็นตำรวจประจำการได้นำตัวโจทก์ไปโดยอ้างว่าเพื่อสอบสวนคดีเพิ่มเติมกรณีโจทก์กล่าวหานายกิ่งกับพวกคนร้ายลักโคโจทก์ จำเลยกลับพาโจทก์ไปยังบ้านพักตำรวจแห่งหนึ่งซึ่งมีจำเลยที่ 4 และที่ 5 อยู่ แล้วจำเลยทั้ง 5 ได้ร่วมกันเตะ ต่อย และถีบโจทก์จนได้รับอันตรายแก่กายแล้วใส่กุญแจมือโจทก์พาโจทก์ไปคุมขังไว้ที่สถานีตำรวจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,310, 157, 83, 90, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง

จำเลยทั้ง 5 ให้การปฏิเสธ แต่โจทก์ได้ถอนฟ้องจำเลยที่ 2-5 ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำรอไว้2 ปี ข้อหาอื่นยก

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก 1 ปี รวมเป็นจำคุก1 ปี 3 เดือน ปรับ 500 บาท ไม่รอการลงโทษจำคุก

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาท รอการลงโทษจำคุกไว้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไม่รอการลงโทษ แต่โทษคงเดิม คดีต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8)พ.ศ. 2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยให้ไม่ได้

ส่วนข้อหาตามมาตรา 157 นั้น ได้ความว่าจำเลยที่ 1 กับพวกไปจับกุมโจทก์มาดำเนินคดีในข้อหาดูหมิ่นจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติตามหน้าที่โดยไปกล่าวหาร้องเรียนต่อผู้กำกับการฯ ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1รับสินบนจากนายเสนและนายแสนคนร้ายที่ลักโคของโจทก์ จำเลยกับพวกจึงไปจับกุมโจทก์ที่บ้าน แต่ในการจับนั้นจำเลยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์จะต้องถูกจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 เพียงแต่แจ้งว่าจะเอาไปสอบสวนคดีใหม่และไม่ได้บอกด้วยว่าคดีอะไร ซึ่งโจทก์เข้าใจว่าจะพาไปสอบสวนเพิ่มเติมคดีเรื่องโคของโจทก์ที่หาย จึงได้ไปกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ จะถือว่าเป็นการจับโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ ทั้งเมื่อจับกุมโจทก์แล้วก็มิได้พาโจทก์ไปที่สถานีตำรวจแต่กลับพาไปที่บ้านพักตำรวจห่างสถานีประมาณ 100 เมตรแล้วร่วมกันทำร้ายโจทก์และใส่กุญแจมือโจทก์ขึ้นรถพาโจทก์ไปที่อื่นก่อนแล้วจึงพากลับไปควบคุมไว้ที่สถานีตำรวจ ดังนี้ เป็นการลุอำนาจและเกินความเหมาะสมแห่งเรื่องในการจับกุม กรณีมิใช่การใช้วิธีหรือความป้องกันเพราะโจทก์ขัดขวางหรือพยายามจะหลบหนีแต่เป็นเพราะจำเลยที่ 1 โกรธแค้นโจทก์เพราะเหตุถูกโจทก์ร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาจึงคิดทำร้ายโจทก์มาแต่ต้น กรณีต้องด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share