แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยแจ้งการครอบครองที่พิพาทตาม ส.ค.1 โดยระบุการได้มาว่า โจทก์ซึ่งเป็นพี่สาวแบ่งให้ ก็นำสืบได้ว่าที่พิพาทเดิมเป็นของบิดามารดา เมื่อบิดามารดาตายโจทก์จำเลยและพี่น้องได้ร่วมทำกินในที่พิพาทแล้วแบ่งปันกันเพราะ ส.ค.1 ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีมาแสดง จึงไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 ที่ไม่ให้สืบพยานบุคคลแก้ไข
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์แบ่งที่ดินให้จำเลยที่ 1 รวม 2 แปลงและจำเลยที่ 2 อีก 1 แปลง จำเลยทั้งสองได้ด่าโจทก์ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง เป็นการประพฤติเนรคุณขอให้จำเลยทั้งสองคืนที่ดินที่โจทก์ยกให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาคืนที่ดินให้แก่โจทก์จำเลยให้การว่า ที่ดินเป็นมรดกของบิดามารดาของจำเลยทั้งสองจำเลยไม่ได้ด่าว่าโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองได้แจ้งการครอบครองที่พิพาทตาม ส.ค.1 เอกสารหมาย จ.1 จ.2 และ จ.3 ระบุว่าได้มาโดยโจทก์ยกให้ จำเลยทั้งสองจะนำสืบหักล้างเอกสารไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั้น โจทก์รับว่า เดิมที่พิพาทเป็นของบิดามารดา แต่อ้างว่าต่อมาบิดามารดาได้ขายให้นายทองสุขเมื่อโจทก์แต่งงานแล้ว โจทก์ได้ไปซื้อที่ดินกลับมา และได้แบ่งให้จำเลย แต่นายสง่า ศรีสมบัติ กำนันตำบลบ้านช่อง เบิกความว่ารู้จักโจทก์จำเลยมาประมาณ 20 ปี ที่ดินแปลงพิพาทนี้ไม่เป็นของโจทก์เป็นของระหว่างพี่ระหว่างน้อง โจทก์จำเลยต่างทำกินมาจนทุกวันนี้คำเบิกความของนายสง่าพยานโจทก์เจือสมข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของมารดาบิดา เมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรมโจทก์จำเลยและพี่น้องได้ร่วมกันทำกินในที่พิพาท ต่อมาในปี 2496ได้มีการแบ่งปันกัน จำเลยทั้งสองได้แจ้งการครอบครองตาม ส.ค.1เอกสารหมาย จ.1 จ.2 และ จ.3 ระบุการได้มาว่า พี่สาวแบ่งให้เมื่อปี 2496 ศาลฎีกาเห็นว่าการแจ้งการครอบครองที่ดินไว้ตามแบบ ส.ค.1นั้น ไม่ก่อให้เกิดสิทธิ์แก่ผู้แจ้ง เว้นแต่จะได้สิทธิ์ครอบครองอยู่แล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย ส.ค.1 ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีมาแสดง ไม่อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 ที่ไม่ให้สืบพยานบุคคลแก้ไข ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนายเกตุนางห่อบิดามารดาโจทก์จำเลย เมื่อบิดามารดาโจทก์จำเลยถึงแก่ความตาย โจทก์จำเลยได้ตกลงแบ่งมรดกที่ดินกันโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกที่ดินคืนตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน