คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยให้พวกมาร้องเรียก พ. ให้ออกมาจากบ้านโดยจำเลยแอบซุ่มยิงอยู่ แม้บังเอิญผู้ตายลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้านลงบันไดเพื่อจะไปถ่ายปัสสาวะข้างล่าง แล้วถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยสำคัญผิดว่าเป็น พ. ก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองยาวไม่มีหมายเลขทะเบียน 1 กระบอก ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายพิทักษ์หรือคลอ รอดเจริญ หลายนัดโดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นเหตุให้นายพิทักษ์ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 83, 91พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และคืนอาวุธปืนของกลางแก่ราชการอำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานีริบของกลางอื่น จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้ว ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองจำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้าน จำคุก 8 เดือน เมื่อศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเรียงกระทงลงโทษในความผิดฐานอื่นได้ คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว คืนปืนของกลางแก่ทางราชการอำเภอบ้านตาขุนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ของกลางอื่นให้ริบ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ยุติว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนของกลางยิงนายพิทักษ์หรือคลอ รอดเจริญ ตายที่ข้างบันไดบ้านนายแพร้ว คงแก้ว ปัญหามีว่า จำเลยเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายตามฟ้องหรือไม่ ทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่านายไมตรีกับจำเลยต้องการจะยิงนายแพร้ว คงแก้ว ตอนเกิดเหตุโจทก์มีนายแพร้วเป็นพยานสำคัญเบิกความว่า นายแพร้วนอนอยู่ได้ยินเสียงนายไมตรีร้องเรียกว่ามีธุระ นายแพร้วลุกขึ้นจุดตะเกียงกระป๋องมาวางไว้ที่ห้องหน้าบ้าน พอดีผู้ตายซึ่งมานอนค้างที่นั่นได้ลุกขึ้นไปเปิดประตูหน้าบ้านลงบันไดจะไปถ่ายปัสสาวะข้างล่าง ขณะนั้นนายไมตรียืนอยู่ที่บันไดได้ทักทายว่า “มึงเยี่ยวหรือคลอ” แต่พอผู้ตายไปถึงพื้นดินก็ถูกคนร้ายที่อยู่ใต้ถุนบ้านยิง 1 นัด นายไมตรีร้องขึ้นว่า “ถูกคลอแล้วพี่หลวงสีซิบ” แล้วนายไมตรีกระโดดจากบันไดวิ่งหนีไป เห็นว่าระยะเวลาที่เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นดังกล่าวคงจะต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว เป็นเวลาเพียงเล็กน้อยคนร้ายที่อยู่ใต้ถุนบ้านคงมีจิตใจจดจ่ออยู่กับการที่จะยิงผู้ที่ลงจากบันไดบ้าน เพราะนายไมตรีไปเรียกนายแพร้ว คนร้ายย่อมนึกไม่ถึงว่าจะมีคนอื่นลงมาจากยันไดในตอนนั้น แม้นายไมตรีจะทักทายผู้ตายโดยเอ่ยชื่อด้วย คนร้ายก็คงไม่ได้ยินเพราะมิได้สนใจฟัง จึงได้ยิงผู้ตายไป 1 นัด และเมื่อนายไมตรีพูดว่า”ถูกคลอแล้วพี่หลวงสีซิบ” คนร้ายที่ยิงผู้ตายก็คงไม่ได้ยินทั้งเป็นการยิงที่ติดพันอีก 2 นัดต่อมา การที่นายไมตรีเอ่ยชื่อจำเลยว่า พี่หลวงสีซิบออกไป ก็อาจเนื่องมาจากนายไมตรีตกใจที่ยิงผิดตัว เหตุการณ์ตอนนี้จึงไม่ถึงกับปราศจากเหตุผลจนเป็นพิรุธแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่โจทก์นำสืบถึงพฤติการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุ 2-3 วัน จำเลยได้ไปขอยืมอาวุธปืนของกลางที่ใช้ยิงผู้ตายมาจากนางหีต เพชรชู และหลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยก็นำอาวุธปืนของกลางไปคืนในเวลาเกือบจะทันทีทันใดหลังจากเกิดเหตุ นางหีตเบิกความยืนยันในข้อนี้รับฟังเป็นจริงได้และนายใกล้ รอดเจริญ บิดาผู้ตายเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุ 2 วันจำเลยกับนายไมตรีไปดื่มสุราที่บ้านนายใกล้ โดยจำเลยถืออาวุธปืนลูกซองยาวมาด้วย คนทั้งสองพูดกันถึงเรื่องจะฆ่านายแพร้ว ข้อนี้แม้นายแพร้วกับนายใกล้จะเป็นญาติกัน แต่ที่คนทั้งสองพูดกันนั้นก็ไม่เกี่ยวกับผู้ตายซึ่งเป็นบุตรนายใกล้ อีกทั้งนายใกล้กับจำเลยก็เป็นญาติสนิทกัน ปรากฏตามคำเบิกความของนางกลั่น ศิริเมืองว่านางกลั่นเป็นมารดาจำเลยและเป็นป้าของผู้ตาย ดังนั้นการที่นายไมตรีกับจำเลยปรึกษากันดังกล่าวโดยนายใกล้ได้ยินรู้เห็นอยู่ด้วย จึงไม่เป็นข้อพิรุธถึงกับจะทำให้รับฟังคำนายใกล้ไม่ได้พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้เอาอาวุธปืนของกลางมาก็เพื่อจะไปยิงนายแพร้ว แล้วเกิดเป็นคดีนี้ขึ้น ร้อยตำรวจโทถาวร ศรีมาลานนท์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยมีชื่อเล่นว่าสีซิบ และในหมู่บ้านนั้นมีคนชื่อสีซิบเพียงจำเลยคนเดียวเท่านั้น เพราะเป็นชื่อที่แปลก เป็นชื่อนก ไม่ค่อยมีใครเอามาตั้งชื่อคน ที่จำเลยนำสืบทำนองว่า นายไมตรีกับนายสีซิบคนภาคเหนือเป็นคนยิงผู้ตายนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เคยอ้างเช่นนี้มาก่อนเพิ่งมาอ้างในชั้นสืบพยานจำเลย จึงไม่มีน้ำหนักพอหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ เห็นว่าพฤติการณ์ที่ปรากฏดังกล่าวบ่งชี้ให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายตามฟ้อง การที่จำเลยให้พวกมาร้องเรียกนายแพร้วให้ออกมาโดยจำเลยแอบซุ่มยิงอยู่แม้บังเอิญผู้ตายลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้าน ลงบันไดเพื่อจะไปถ่ายปัสสาวะข้างล่าง แล้วถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยสำคัญผิดว่าเป็นนายแพร้วก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น”

Share