คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยในคดีอาญา ซึ่งถือไม่ได้ว่า เป็นคำรับสารภาพ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแจ้งปริมาณข้าวซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นเท็จ ขอให้ลงโทษ จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยเป็นกสิกร ได้รับความยกเว้นไม่ต้องแจ้งปริมาณข้าว ทั้งข้อความที่จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานก็เป็นความจริง โจทก์,จำเลยไม่ติดใจสืบพะยาน.
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยเป็นกสิกร ได้รับความยกเว้น ไม่ต้องแจ้งปริมาณข้าวที่อยู่ในครอบครอง พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไม่นำสืบว่า ข้อความที่จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานเป็นความเท็จ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาได้ตรวจดูคำให้การของจำเลยแล้ว มีข้อความว่า “ข้อความที่ข้าพเจ้าแจ้งต่ำเจ้าพนักงานณะที่ว่าการอำเภอศรีสัชชนาลัยนั้น ก็เป็นความจริง ข้าวเปลือกส่วนของข้าพเจ้า ซึ่งฝากใส่ยุ้งข้าวนายโนรีบิดาข้าพเจ้ามีเพียง ๒๐๐ ถัง เท่าที่ไปแจ้งปริมาณเท่านั้นและข้าพเจ้าก็แยกใส่ไว้ห้องกลางเป็นส่วนสัดมิได้ปะปนกับของผู้อื่น ยุ้งข้าวที่กล่าวในฟ้อง ก็ไม่ใช่ยุ้งข้าวของข้าพเจ้า เป็นยุ้งข้าวของนายโนรีบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงผู้อาศัย ส่วนที่ปรากฏตามฟ้องว่า ข้าพาเจ้าจำเลยมีข้าวเปลือกอยู่ในความครอบครองทั้งสิ้นประมาณ ๖ เกวียนหลวงนั้น ไม่ใช่ความจริงเพราะข้าพเจ้าไม่ใช่เจ้าของบ้าน และยุ้งข้าวรายนี้ไม่ใช่ของข้าพเจ้า ข้าวเปลือกซึ่งอยู่ในยุ้ง จึงหาใช่อยู่ในความครอบครองของข้าพเจ้าไม่……….. ข้าวเปลือกส่วนของใคร คนนั้นก็ครอบครองเป็นส่วนเป็นสัดตลอดมา” นั้นจะฟังว่าจำเลยให้การรับตามฟ้องไม่ได้ กลับแสดงให้เห็นชัดว่า จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อหา จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าคำแจ้งความของจำเลยเป็นเท็จ เมื่อโจทก์ไม่สืบพะยานก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
พิพากษายืน.

Share