แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาและชำระหนี้แก่จำเลยในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นเป็นการกระทำตามคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดีเพื่อนำเงินที่ศาลมีคำสั่งให้ยึดไว้ชั่วคราวในคดีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดไว้ในอีกคดีหนึ่งไปเฉลี่ยให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเห็นว่าหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็คัดค้านไม่ให้จำเลยนี้เข้ามาเฉลี่ยทรัพย์ได้การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าลักษณะอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา185หรือมาตรา187 สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา264และมาตรา265หรือไม่นั้นจากคำเบิกความของป. และท. จะเห็นได้ว่าได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้โดยรู้ว่าท. ค้างชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลยแม้จะฟังว่ากหรือจำเลยกรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อของป.กับท. แล้วนำเอกสารดังกล่าวฟ้องเรียกเงินกู้ก็เป็นการกรอกข้อความลงในเอกสารซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยเชื่อด้วยความสุจริตและได้กรอกลงไปตรงตามความเป็นจริงทั้งได้รับความยินยอมจากเจ้าของลายมือชื่อแล้วสัญญากู้ดังกล่าวย่อมไม่เป็นเอกสารปลอมการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้จะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีปรากฎว่าท. ยอมรับว่าเคยกู้เงินจากจำเลยและยังค้างชำระหนี้อยู่ใกล้เคียงกับจำนวนตามที่จำเลยฟ้องจริงแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าหนี้อยู่จริงเมื่อไม่ปรากฎพฤติการณ์ระหว่างจำเลยกับป. อันส่อเจตนาเพื่อมิให้กรมตำรวจในฐานะเจ้าหนี้ของป. ได้รับชำระหนี้แล้วการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180, 185,187, 80, 264, 265, 350
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 185, 187, 350 ประกอบด้วยมาตรา 80 กระทงหนึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 185ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปีและผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ปัญหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อหาฐานนำสืบแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180คู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกาจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 185 และมาตรา 187 ตามฟ้องหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ากรมตำรวจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายดาบตำรวจประวัติกับพวกเป็นจำเลยในคดีแพ่งข้อหาละเมิดและเรียกเงินคืนปรากฎตามสำเนาคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 1015/2530 ของศาลชั้นต้นเอกสารหมาย จ.3 ในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของนายดาบตำรวจประวัติกับพวกออกขายทอดตลาดนำเงินมาเก็บไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ต่อมานายโกวิท โกศัลจิตรทนายความได้ดำเนินการให้จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องเรียกหนี้สินเงินกู้คืนจากนายดาบตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์โดยนำหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามเอกสารหมาย จ.4 ไปฟ้องและคดีดังกล่าวได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความจนถึงขั้นขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของนายดาบตำรวจประวัติและนางทัศนีย์ ปรากฎตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 1323/2534 ของศาลชั้นต้น เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของนายดาบตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีดังกล่าวเป็นการกระทำตามคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดีเพื่อนำเงินที่ศาลมีคำสั่งให้ยึดไว้ชั่วคราวในคดีที่กรมตำรวจเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดไว้ในอีกคดีหนึ่งไปเฉลี่ยให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หากกรมตำรวจเจ้าหนี้ที่ขอยึดไว้ก่อนเห็นว่าหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ต้องดำเนินการคัดค้านไม่ให้จำเลยนี้เข้ามาเฉลี่ยทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าลักษณะอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 185 หรือมาตรา 187ตามที่โจทก์ฎีกา
ปัญหาต่อไปว่าจำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 และมาตรา 265 ตามฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้นายดาบตำรวจประวัติเบิกความเป็นพยานโจทก์ได้ยอมรับว่า พยานได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้กู้จริง โดยมีนายโกวิทนำแบบพิมพ์หนังสือสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.4 มาให้ลงชื่ออ้างว่านางทัศนีย์ภริยาของพยานเป็นหนี้จำเลยจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินคนละครึ่งและพยานก็ได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความตามเอกสารหมาย จ.1 มอบให้แก่นายโกวิทไปด้วย ขณะที่ลงลายมือชื่อทั้งเอกสารหมาย จ.1และหมาย จ.4 ยังไม่ได้กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์ดังกล่าวนางทัศนีย์ก็ได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ยอมรับว่าเคยกู้เงินจากจำเลยนำมาให้บุคคลอื่นกู้ต่อ ระยะหลังขาดส่งดอกเบี้ยให้จำเลยจำเลยให้พยานหาเงินมาคืนและนำสัญญากู้มาให้พยานลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ตามเอกสารหมาย จ.4 ใช่ลายมือชื่อของพยานจริง โดยจำเลยบอกพยานว่าเป็นหนี้อยู่ 400,000 บาท ถึง 500,000 บาทส่วนใบแต่งทนายความตามเอกสารหมาย จ.1 นายโกวิทนำมาให้พยานลงลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนาย จากคำเบิกความของนายดาบตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์จะเห็นได้ว่าได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.4 โดยรู้ว่านางทัศนีย์ค้างชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย แม้จะฟังว่านายโกวิทหรือจำเลยกรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อของนายดาบตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์ตามเอกสารหมาย จ.1 กับ จ.4 แล้วนำเอกสารดังกล่าวไปฟ้องเรียกเงินกู้อีกทั้งยังได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายมอบให้แก่นายโกวิทไป ดังนี้ ก็เป็นการกรอกข้อความลงในเอกสารซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่น โดยเชื่อด้วยความสุจริตและได้กรอกลงไปตรงตามความเป็นจริงทั้งได้รับความยินยอมจากเจ้าของลายมือชื่อแล้วสัญญากู้ดังกล่าวย่อมไม่เป็นเอกสารปลอม การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามที่โจทก์ฎีกา
ปัญหาประการสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หรือไม่ เห็นว่าความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามบทมาตรานี้จะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้ แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฎจากคำเบิกความของนายดาบตำรวจประวัติพยานโจทก์ว่าขณะที่นายโกวิทนำแบบพิมพ์สัญญากู้มาให้ลงชื่อนายโกวิทอ้างว่านางทัศนีย์เป็นหนี้เงินกู้จำเลย กำลังเดือดร้อนหากพยานลงชื่อแล้วจะช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินนางทัศนีย์คนละครึ่ง ซึ่งในข้อนี้นางทัศนีย์ก็ยอมรับว่าเคยกู้เงินจากจำเลยและยังชำระหนี้อยู่ใกล้เคียงกับจำนวนตามที่จำเลยฟ้องจริงแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าหนี้อยู่จริง นายดาบตำรวจประวัติกับนางทัศนีย์เป็นสามีภริยากัน หากเป็นหนี้ร่วมก็ต้องรับผิดชำระร่วมกัน เมื่อไม่ปรากฎพฤติการณ์ร่วมมือกันระหว่างจำเลยกับนายดาบตำรวจประวัติอันส่อเจตนาเพื่อมิให้กรมตำรวจในฐานะเจ้าหนี้ของนายดาบตำรวจประวัติได้รับชำระหนี้แล้ว การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน