แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วที่ใช้เป็นหลักสำหรับการคำนวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมาตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 18 หมายความถึงค่ารายปีของปีก่อนถัดจากปีที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำลังประเมิน ดังนั้น การประเมินค่ารายปีสำหรับโรงเรือนพิพาทที่โจทก์ใช้ในปี 2546 เพื่อคำนวณภาษีซึ่งต้องชำระประจำปีภาษี 2547 จึงต้องนำค่ารายปีของปี 2545 ที่มีการชำระค่าภาษีประจำปีภาษี 2546 มาเป็นหลักในการคำนวณค่าภาษี
ปัญหาว่าใบแจ้งคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 หรือไม่ เมื่อศาลภาษีอากรกลางมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทนี้ไว้ในชั้นชี้สองสถานและโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้าน โดยยินยอมดำเนินกระบวนพิจารณาเท่าที่ศาลภาษีอากรกลางกำหนดประเด็นไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นว่า ใบแจ้งคำชี้ขาดที่พิพาทไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 หรือไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง และมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ให้จำเลยทั้งสามคืนเงินที่เรียกเก็บจากโจทก์เกินไปจำนวน 1,008,373.82 บาท แก่โจทก์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันที่เกิน 3 เดือนเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประการแรกว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางกำหนดค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินทรัพย์สินพิพาทของโจทก์ประจำปีภาษี 2547 เท่ากับจำนวนของปีภาษี 2546 ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า อัตราค่าเช่ามาตรฐานกลางตามบันทึกข้อความดังกล่าวเป็นอัตราที่จำเลยที่ 1 ใช้กับอาคารที่มีลักษณะพิเศษที่ดำเนินกิจการของตนเอง และต้องเป็นทรัพย์สินที่มีลักษณะตามข้อ 1 กล่าวคือจะต้องเป็นอาคารเพื่อเป็นที่ทำการของบุคคลหรือนิติบุคคล แต่อาคารของโจทก์ในคดีนี้มีลักษณะที่ใช้เป็นห้างสรรพสินค้า มิใช่เป็นที่ทำการของบุคคลหรือนิติบุคคล จึงไม่อาจนำอัตราค่าเช่ามาตรฐานกลางดังกล่าวมาใช้กับอาคารของโจทก์ได้ นอกจากนี้บันทึกดังกล่าวเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติที่จำเลยที่ 1 วางเป็นแนวทางเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ปฏิบัติไปในทางเดียวกัน บันทึกข้อความดังกล่าวก็มิใช่กฎหมาย แม้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ทำให้การประเมินต้องเสียไปหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงต้องประเมินค่ารายปีโดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้งและบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ ตามมาตรา 8 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ซึ่งเมื่อได้คำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สินคืออาคารของโจทก์แล้ว โจทก์ใช้อาคารพิพาทดำเนินกิจการเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จำหน่ายสินค้าให้แก่ประชาชนทั่วไป โจทก์ย่อมได้รับผลประโยชน์มากกว่าอาคารที่ใช้เป็นที่ทำการของบุคคลหรือนิติบุคคล หากนำอาคารทั้งสองชนิดออกให้เช่าแล้ว อาคารของโจทก์ที่ใช้เป็นห้างสรรพสินค้าย่อมจะได้รับค่าเช่ามากกว่าอาคารที่ใช้เป็นที่ทำการของบุคคลหรือนิติบุคคล ดังนั้นค่ารายปีของอาคารของโจทก์ย่อมต้องสูงกว่าค่ารายปีของอาคารที่ใช้เป็นที่ทำการบุคคลหรือนิติบุคคล การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 กำหนดอัตราค่ารายปีสำหรับอาคารของโจทก์สูงกว่าอัตราค่ารายปีของอาคารที่ใช้เป็นที่ทำการบุคคลหรือนิติบุคคลที่จำเลยที่ 1 ได้กำหนดค่าเช่ามาตรฐานกลางใว้ตามบันทึกที่โจทก์กล่าวอ้างแล้วนำมาคำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี 2547 จึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว และอัตราค่ารายปีที่กำหนดเพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีดังกล่าวก็เป็นอัตราค่ารายปีเดียวกับที่กำหนดใช้คำนวณภาษีโรงเรือนและที่ดินในปีที่ล่วงมาแล้วคือปีภาษี 2546 ซึ่งโจทก์พอใจการประเมิน มิได้ขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ และได้ชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินตามการประเมินนั้นแล้ว การประเมินดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นการประเมินโดยใช้ค่ารายปีในปีที่ล่วงมาเป็นหลักในการคำนวณที่ต้องชำระตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ประกอบกับโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่ามีเหตุปัจจัยอย่างไรที่จะทำให้ค่ารายปีสำหรับโรงเรือนของโจทก์ในปีภาษีพิพาทแตกต่างหรือลดลงจากค่ารายปีของปีภาษีที่ล่วงมา ดังนั้นการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่ใช้ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วมาเป็นหลักในการคำนวณภาษี และคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ของจำเลยที่ 2 จึงชอบแล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประการต่อไปว่า ใบแจ้งคำชี้ขาดฉบับพิพาทไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 37 หรือไม่ เห็นว่า ในชั้นชี้สองสถานเมื่อศาลภาษีอากรกลางมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า คำชี้ขาดไม่ได้แจ้งข้ออ้างหรือเหตุผลใด ๆ ในการพิจารณาหรือไม่ โจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งไว้ และยินยอมดำเนินกระบวนพิจารณาเท่าที่ศาลภาษีอากรกลางกำหนดประเด็นไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าใบแจ้งคำชี้ขาดที่พิพาทไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 หรือไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง ทั้งปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29 ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนจำเลยทั้งสาม.