แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์จากรถที่เช่าซื้อและมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องส่งคืน เมื่อมีผู้ยักยอกรถนั้นไป โจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่าซื้อ และการที่ผู้ให้เช่าซื้อมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ก็ถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ลงชื่อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อในหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จะเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อหรือเป็นเจ้าของรถที่แท้จริงหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจมีข้อความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลลบล้างการที่โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหาย แม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำบันทึกและหลักฐานการรับคำร้องทุกข์มานำสืบ แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จริง กรณีจึงถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์ 200,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายมีโชค ซึ่งเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากนายวุฒิกร ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการเขต 6 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 3 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์ 200,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทหมายเลขทะเบียน ป – 6946 นครสวรรค์ โดยทำสัญญาเช่าซื้อกับนายวุฒิกร ในราคา 258,000 บาท ในระหว่างผ่อนชำระค่าเช่าซื้อมีผู้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์ร่วมและยังไม่นำมาคืน ต่อมาโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหายักยอกรถ ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถจึงไม่เป็นผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิร้องทุกข์และขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม การมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมร้องทุกข์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เห็นว่า แม้โจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์จากรถที่เช่าซื้อและมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องส่งคืน เมื่อมีผู้ยักยอกรถนั้นไป โจทก์ร่วมย่อมได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่าซื้อ และการที่ผู้ให้เช่าซื้อมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ก็ถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายด้วย ดังนั้น ไม่ว่าผู้ลงชื่อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อในหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จะเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อหรือเป็นเจ้าของรถที่แท้จริงหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจมีข้อความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลลบล้างการที่โจทก์ร่วมร้องทุกข์ในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหาย แม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำบันทึกหรือหลักฐานการรับคำร้องทุกข์มานำสืบ แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์จริง กรณีจึงถือได้ว่า โจทก์ร่วมร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่วินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า จำเลยยักยอกรถยนต์พิพาทของโจทก์ร่วมหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยยืมรถยนต์พิพาทของโจทก์ร่วมไป ส่วนเหตุการณ์หลังจากจำเลยยืมรถยนต์พิพาทไปแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีดาบตำรวจชลอ จ่าสิบตำรวจฉลอง และสิบตำรวจโทราชสิทธิ์เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยเป็นผู้พาโจทก์ร่วมและพยานทั้งสามไปติดตามหารถยนต์พิพาท จำเลยบอกว่านำรถยนต์พิพาทไปแลกกับยาเสพติดให้โทษในราคา 50,000 บาท และหลังกลับจากหมู่บ้านทับเบิกแล้ว จำเลยหลบหนีไป พยานทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ไม่ปรากฏว่ามีส่วนได้เสียในคดีหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลย เชื่อได้ว่าพยานทั้งสามเบิกความตามที่ได้รู้เห็นมา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยบอกเล่าเรื่องการนำรถยนต์พิพาทไปแลกกับยาเสพติดให้โทษจริง ซึ่งหากโจทก์ร่วมขายรถยนต์พิพาทให้นายสุนทรจริง จำเลยก็น่าจะพูดให้พยานทั้งสามฟัง เมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติกรรมของจำเลยที่ในตอนแรกอ้างต่อโจทก์ร่วมว่ารถยนต์พิพาทจมน้ำ แต่ต่อมาก็พาโจทก์ร่วมไปตามหารถยนต์พิพาทตามที่ต่าง ๆ หลายแห่ง แสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการนำรถยนต์พิพาทของโจทก์ร่วมไป ที่จำเลยอ้างว่าหากจำเลยมีเจตนายักยอกรถยนต์พิพาทของโจทก์ร่วม จำเลยก็น่าจะหลบหนีไป แต่กลับพาโจทก์ร่วมไปตามหารถยนต์พิพาท อาจเป็นเพราะจำเลยคิดว่าตนเป็นเพื่อนสนิทกับโจทก์ร่วม หากนำรถยนต์พิพาทคืนได้ ก็จะไม่ถูกดำเนินคดีก็เป็นได้ เพราะในตอนแรกโจทก์ร่วมประสงค์จะได้รถยนต์พิพาทคืนเท่านั้น พฤติการณ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่สิ่งที่แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดเสมอไป แต่อย่างไรก็ตาม โจทก์ร่วมยืนยันว่าหลังจากนั้นจำเลยหลบหนีไปและเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอขาณุวรลักษบุรีจับจำเลยได้ ซึ่งจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยถูกควบคุมตัว ซึ่งบันทึกการจับกุมระบุว่า เป็นการจับกุมตามหมายจับ มิใช่เป็นการมอบตัว ที่จำเลยอ้างว่าเข้ามอบตัวเองจึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนเหตุผลข้ออื่นนอกจากนี้เป็นรายละเอียดปลีกย่อยไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคดีได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่า จำเลยยืมรถยนต์พิพาทของโจทก์ร่วมไปแล้วเบียดบังเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต จำเลยจึงมีความผิดฐานยักยอก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน