แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2509 วันที่ 12 เมษายน 2509 จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา จำเลยฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีให้ยกเสีย และศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2509 วันที่ 13 มิถุนายน 2510 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลาง ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีถึงที่สุดเมื่อได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยฟัง การนับระยะเวลา 1 ปี เพื่อยื่นคำร้องขอคืนของกลาง นับต่อจากวันนั้นเป็นต้นไป การที่ผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2510 จึงเป็นการร้องต่อศาลภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2512)
ย่อยาว
เดิมศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ จำเลยรับสารภาพ ลดแล้วจำคุกหกเดือน ริบของกลาง
วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๐ ผู้ร้องร้องว่าของกลางเป็นของผู้ร้อง จำเลยนำไปใช้ในการกระทำผิดโดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วย ขอให้สั่งคืน
โจทก์คัดค้าน อ้างว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด และร้องขอคืนเมื่อเกิน ๑ ปี นับแต่คำพิพากษาถึงที่สุด ขอให้ยำคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ ๑ นำเอาของกลางไปใช้ในการกระทำผิดโดยผู้ร้องไม่รู้เห็นด้วย แต่ช้างของกลางเป็นของจำเลยที่ ๑ กับผู้ร้องร่วมกัน ส่วนของกลางอีกจำนวนหนึ่งฟังไม่ได้ว่าเป็นของผู้ร้อง คำร้องขอคืนของกลางยังไม่เกิน ๑ ปี นับแต่คำพิพากษาถึงที่สุด พิพากษาให้คืนช้างให้ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง คำขออื่นให้ยก
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีเดิมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงถึงที่สุดเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๐๙ อันเป็นวันอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง แม้ต่อมาจำเลยจะฎีกา (อ้างว่าเป็นการฎีกาปัญหาข้อกฎหมาย) ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งศาลฎีกา (ที่ไม่รับฎีกา) ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๙ ก็ไม่เป็นเหตุให้เปลี่ยนกำหนดวันถึงที่สุดแห่งคำพิพากษาคดีนี้เป็นวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๙ ไปได้ ที่ผู้ร้องร้องขอให้คืนของกลางเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๐ จึงเกินกำหนด ๑ ปีนับแต่วันคดีถึงที่สุด ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ อันเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับอายุความทางอาญา ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ที่ศาลชั้นต้นรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาเป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นอุทธรณ์ที่มิชอบด้วย พิพากษายืนในผลแห่งคดี
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีนี้ถึงที่สุดเมื่อได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยฟัง การนับระยะเวลา ๑ ปีเพื่อยื่นคำร้องขอคืนของกลางนับต่อจากวันนั้นเป็นต้นไป ฉะนั้นการที่ผู้ร้องร้องขอคืนของกลางต่อศาลเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๐ จึงเป็นการร้องต่อศาลภายใน ๑ ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ มีอำนาจร้องได้
ปัญหาว่าของกลางดังกล่าวนั้นเป็นของผู้ร้อง และผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยนำไปใช้ในการทำผิดในคดีนี้ด้วยหรือไม่นั้น ข้อนี้ในทางพิจารณาผู้ร้องมิได้นำสืบเลยว่าของกลาง ๔ อย่างที่ฎีกามา คือ โซ่เหล็ก ๓ เส้น สายรัดท้องช้าง ๑ เส้น ก๊อบไม้ ๒ อัน ปุยรองหลังช้าง ๑ ชุดนั้น เป็นของผู้ร้อง แม้จะฟังว่าสิ่งของเหล่านั้นเป็นของใช้สำหรับช้างของกลาง เมื่อช้างของกลางเป็นของผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ ร่วมกันก็ไม่แน่เสมอไปว่าสิ่งของเหล่านั้นจะเป็นของผู้ร้องด้วย อาจเป็นของคนอื่นก็ได้ ฉะนั้นฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น ข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นชอบแล้ว
พิพากษายืนในผลแห่งคดี.