คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8976/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อซึ่งบรรทุกทรายเต็มคันรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2ถอยหลังไปตามถนนคอนกรีตกว้างประมาณ 4 เมตร ล้อหลังขวาปีนขอบถนนซึ่งเป็นคอนกรีตสูงจากพื้นถนนประมาณ 15 เซนติเมตร ขึ้นบนบริเวณประตูทางเข้าลานไกที่มีฝาตะแกรงเหล็กปิดอยู่ ทำให้ฝาตะแกรงเหล็กยุบลงไปโดนสายเคเบิล ซึ่งอยู่ด้านล่างแตกฉีกขาด ไฟฟ้าลัดวงจรและเกิดไฟลุกไหม้สายเคเบิล แสดงว่าการถอยรถยนต์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 มิได้ใช้ความระมัดระวังควบคุมให้รถยนต์แล่นอยู่บนพื้นผิวถนน จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและละเมิดแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้าง จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปบนถนน ทางเดิน หรือทางวิ่งสำหรับรถยนต์ แต่ขับโดยล้อหลังด้านขวาปีนข้ามขอบถนนเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งไม่ใช่พื้นที่ของถนน เมื่อน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ทำให้ฝาตะแกรงเหล็กปิดรางสายเคเบิลในบริเวณลานไกยุบลงไปทับสายเคเบิลอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จึงไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.12.2 ที่ระบุว่า จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากความเสียหายที่เกิดใต้ถนน ทางเดิน ทางวิ่ง หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือนหรือจากน้ำหนักรถยนต์หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า พนักงานของโจทก์ปล่อยปละละเลยให้เครื่องปรับกำลังดันกระแสไฟฟ้าหมุนโดยขาดน้ำมันหล่อลื่นถึง 2 วัน จนทำให้ลูกปืน (แบริ่ง) หลอมละลายจนใช้การไม่ได้ ถือว่าความเสียหายเกิดจากการกระทำของโจทก์ ความข้อนี้จำเลยทั้งสามเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาโดยมิได้ถามค้านพยานโจทก์และนำสืบต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ บรรทุกทรายเต็มคันรถ แล่นเข้าไปในที่ทำการเขต 1 สถานีไฟฟ้าแรงสูงพระนครเหนือของโจทก์ อันเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และขับรถถอยหลังเข้าไปในบริเวณลานไก (บริเวณอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าแรงสูง) ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังในการควบคุมรถ ทำให้ล้อหลังด้านขวาปีนขึ้นไปทับบนฝาตะแกรงเหล็กปิดรางสายเคเบิล ฝาตะแกรงเหล็กปิดรางยุบลงไปพร้อมกับล้อหลังด้านขวาของรถคันดังกล่าวและทับลงบนสายเคเบิลทำให้สายเคเบิลแตกขาด ไฟฟ้าลัดวงจรทำให้เกิดไฟลุกไหม้สายไฟฟ้า เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ทำละเมิดต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,193,334.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในเงินต้น 2,044,218.68 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า เหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว กล่าวคือ ในบริเวณที่เกิดเหตุเป็นสถานีไฟฟ้าแรงสูงและเป็นหน่วยงานก่อสร้างของโจทก์ โจทก์มอบให้ผู้มีชื่อซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์มีหน้าที่ควบคุมดูแลและสั่งการในบริเวณหน่วยงานก่อสร้าง โดยผู้มีชื่อได้รู้หรือควรจะรู้อยู่แล้วว่าในบริเวณที่เกิดเหตุมีสายเคเบิลฝังอยู่ใต้ดิน แต่ผู้มีชื่อได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ถอยรถยนต์ ซึ่งบรรทุกทรายมีน้ำหนักมากเข้าไปในบริเวณดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า กรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.12.2 ไม่คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินที่อยู่ใต้ถนน ทางวิ่งทางเดินที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากน้ำหนักของรถยนต์หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ ทรัพย์สินที่เสียหายในคดีนี้อยู่ใต้ถนน ทางวิ่ง ทางเดิน และได้รับความเสียหายเนื่องจากน้ำหนักของรถยนต์ หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน 1,441,717.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับจำเลยที่ 3 ให้ร่วมรับผิดไม่เกิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริเวณประตูลานไกอยู่สูงจากพื้นถนนประมาณ 15 เซนติเมตรและอยู่ติดกับขอบถนนซึ่งเป็นคอนกรีตสูงประมาณ 15 เซนติเมตรเป็นแนวยาวไปตามขอบถนน ล้อหลังด้านขวาของรถยนต์บรรทุกสิบล้อปีนข้ามขอบถนนขึ้นไปบนบริเวณประตูลานไก แสดงว่าการถอยรถยนต์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 มิได้ควบคุมบังคับรถยนต์ให้แล่นอยู่บนพื้นผิวถนนมาเบิกความสอดคล้องกันว่า ขณะจำเลยที่ 1 ถอยรถเข้ามาใหม่นั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายชาญพยานโจทก์กับนายบุญลือพยานจำเลยทั้งสามตรงกันว่า นายชาญยืนอยู่ทางด้านซ้ายของรถยนต์แสดงว่ายืนอยู่คนละฝั่งถนนกับบริเวณประตูลานไกที่เกิดเหตุ นายชาญจึงไม่สามารถมองเห็นบริเวณประตูลานไกได้ขณะรถยนต์คันดังกล่าวแล่นถอยหลังผ่านนายชาญไป นายชาญมิได้ไปยืนอยู่ตรงบริเวณที่ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 ถอยรถเข้าไปเททรายลง แล้วให้สัญญาณในการถอยรถของจำเลยที่ 1 อันเป็นการกำกับดูแลการถอยรถและเททรายของจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและตรงตามความประสงค์ของนายชาญแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า นายชาญพนักงานของโจทก์เป็นผู้ควบคุมและสั่งการให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกเข้าไปเททรายยังที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 มีหน้าที่บังคับควบคุมรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันเกิดเหตุย่อมต้องใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชนที่จะต้องพึงกระทำในหน้าที่ของผู้ขับรถยนต์ ต้องควบคุมรถให้แล่นไปตามพื้นผิวถนน โดยเฉพาะในถนนบริเวณที่เกิดเหตุมีการสร้างขอบถนนเป็นคอนกรีตสูงถึง 15 เซนติเมตร ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าพื้นที่อื่นบริเวณนอกขอบถนนไม่ใช่พื้นที่สำหรับรถยนต์ชนิดใดจะขึ้นไปใช้แทนพื้นผิวถนนได้ โดยเฉพาะรถยนต์คันเกิดเหตุเป็นรถยนต์บรรทุกสิบล้อขนาดใหญ่ และขณะเกิดเหตุบรรทุกทรายหนักถึง 10 ตัน ย่อมเล็งเห็นได้ว่าความใหญ่และน้ำหนักของรถยนต์คันเกิดเหตุอาจก่อให้เกิดความเสียหายแตกหักและยุบตัวแก่พื้นผิวนอกขอบถนนได้ แม้บริเวณประตูลานไกจะไม่มีเครื่องหมายห้ามเข้า และฝาตะแกรงเหล็กที่ปิดทึบไม่สามารถเห็นสายเคเบิลด้านล่างได้ ทั้งมิได้มีป้ายแสดงว่ามีสายเคเบิลอยู่ใต้พื้นดังกล่าว ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นความผิดหรือความบกพร่องของโจทก์แต่อย่างใด จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 เป็นการละเมิดแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 2.12.2 ได้ระบุข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลยที่ 3 ไว้ว่า จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากความเสียหายที่เกิดใต้ถนน ทางเดิน ทางวิ่ง หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือนหรือจากน้ำหนักรถยนต์หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ ขณะเกิดเหตุล้อหลังด้านขวาของรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุแล่นขึ้นไปอยู่บนขอบถนนซึ่งถือเป็นบริเวณส่วนหนึ่งของถนน กรณีจึงเข้าข้อยกเว้นดังกล่าว จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า ข้อความตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 2.12.2 หมายความว่า จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดในกรณีความเสียหายของถนน ทางเดิน ทางวิ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อยู่ใต้สิ่งเหล่านั้น อันเกิดจากการสั่นสะเทือน หรือจากน้ำหนักของรถยนต์หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปบนถนน ทางเดิน หรือทางวิ่งสำหรับรถยนต์ดังกล่าว แต่ได้ขับโดยล้อหลังด้านขวาปีนข้ามขอบถนนเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ของถนน เมื่อน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ดังกล่าวทำให้ฝาตะแกรงเหล็กปิดรางสายเคเบิลในบริเวณลานไกยุบลงไปทับสายเคเบิลอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งวางอยู่ข้างใต้เกิดความเสียหาย จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยที่ 3 จะไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในจำนวนเงินไม่เกิน 500,000 บาท
ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า การที่พนักงานโจทก์ปล่อยปละละเลยให้เครื่องปรับกำลังดันกระแสไฟฟ้าหมุนโดยขาดน้ำมันหล่อลื่นถึง 2 วัน จนทำให้ลูกปืน (แบริ่ง) หลอมละลายจนใช้การไม่ได้ ถือว่าความเสียหายเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชอบนั้น เห็นว่า ความข้อนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา โดยมิได้ถามค้านพยานโจทก์และนำสืบต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกขึ้นฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาจำนวน 1,500 บาท แทนโจทก์.

Share