คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 897/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน.โดยเล่าเรื่องให้ฟังตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าบิดาโจทก์กับบิดาจำเลยเป็นความกันเรื่องทางเดิน จำเลยพาคนไปถ่ายภาพทางเดินนั้นเพื่อประกอบคดีในขณะที่โจทก์กับพวกกำลังเดินออกจากบ้าน ขณะที่ถ่ายภาพอยู่นั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จำเลยไม่เห็นคนยิง แต่เชื่อหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ยิงพนักงานสอบสวนได้สรุปข้อความตามคำแจ้งความแล้วให้ตำรวจบันทึกคำแจ้งความไว้ มีความตอนหนึ่งว่า โจทก์ใช้ปืนพกยิงจำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีเจตนาจะยิงจำเลยให้ถึงแก่ความตาย ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยไปแจ้งความโดยเล่าเรื่องตามที่เกิดขึ้นซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจเช่นนั้นได้ ข้อความที่บันทึกไว้นั้นก็เป็นข้อความที่พนักงานสอบสวนบอกให้ตำรวจเขียน ไม่ใช่ถ้อยคำที่จำเลยแจ้งโดยแท้จริง ทั้งมีพฤติการณ์ต่อมาแสดงว่าจำเลยมิได้เจตนาแกล้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 นำความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จไปแจ้งกล่าวโทษโจทก์ต่อร้อยตำรวจตรีสงวน พนักงานสอบสวนเพื่อให้โจทก์รับโทษทางอาญาว่า โจทก์ได้ใช้ปืนพกยิงจำเลยที่ 1 โดยเจตนาจะให้จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย กับได้ให้การต่อร้อยตำรวจตรีสงวนว่าโจทก์เป็นผู้ยิงจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกันและจำเลยที่ 1 ได้จ้างวานใช้จำเลยที่ 2 ให้ให้การเท็จในเรื่องนี้ด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 179, 181, 83, 84, 91

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ลงโทษจำคุกและปรับ แต่โทษจำคุกให้รอไว้ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 181(2) และให้ลงโทษจำคุกไปทีเดียว

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียด้วย

โจทก์ฎีกาต่อมาอีก

ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นญาติกัน บิดาโจทก์กับบิดาจำเลยที่ 1 เป็นความกันที่ศาลแพ่งเรื่องขอให้เปิดทางเดิน วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำจำเลยที่ 2 ไปถ่ายภาพทางเดินพิพาท ในขณะที่โจทก์กับคนบ้านโจทก์กำลังเดินออกจากบ้าน ขณะที่ถ่ายภาพอยู่นั้นได้มีเสียงปืนหรือเสียงระเบิดคล้ายเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แล้วจำเลยที่ 1 ได้ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทสงวนพนักงานสอบสวนและพันตำรวจโทจำรัส ผู้กำกับการตำรวจ โดยเล่าเรื่องให้ฟังว่าบิดาโจทก์กับบิดาจำเลยที่ 1 เป็นความกันเรื่องทางเดิน จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 ไปถ่ายภาพเพื่อประกอบคดี ขณะถ่ายภาพอยู่นั้นเองได้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จำเลยที่ 1 ไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิง แต่เชื่อหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ยิง ร้อยตำรวจโทสงวนได้สรุปข้อความเอาตามที่จำเลยที่ 1 แจ้งแล้วให้ตำรวจบันทึกไว้ในสมุดรายงานเบ็ดเสร็จประจำวัน มีข้อความตอนหนึ่งว่า “นายไพบูลย์ เนียมสมบุญ (โจทก์)ใช้ปืนพกยิง ผู้แจ้งเข้าใจว่านายไพบูลย์มีเจตนาจะยิงผู้แจ้งให้ถึงแก่ความตาย” แล้วตำรวจจึงไปค้นบ้านโจทก์ ยึดปืนพกของโจทก์และนำตัวโจทก์ไปดำเนินคดี ศาลฎีกาเห็นว่า ความจริงจำเลยที่ 1 ไปแจ้งโดยเล่าเรื่องตามที่เกิดขึ้นให้นายตำรวจฟังตามความเข้าใจของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจเช่นนั้นได้ส่วนข้อความที่เขียนไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันนั้น เป็นข้อความที่ร้อยตำรวจโทสงวนสรุปเอาจากข้อความที่จำเลยที่ 1 เล่าให้ฟังแล้วให้ตำรวจบันทึกไว้ หาใช่ถ้อยคำที่จำเลยที่ 1 แจ้งโดยแท้จริงไม่และในวันนั้นเองจำเลยที่ 1 ก็ให้การต่อพนักงานสอบสวนโดยมิได้ยืนยันเลยว่าได้เห็นโจทก์ยิง เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นว่ามิได้เจตนากลั่นแกล้งแสร้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิด

พิพากษายืน

Share