คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2538

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยพา จ. ผู้เยาว์อายุ17ปีอยู่ในความปกครองของ ว.ไปค้างคืนนอกบ้านและ จ. ยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราด้วยความสมัครใจโดย จ. กับจำเลยรักใคร่ชอบพอกันประสงค์จะเป็นสามีภริยากันเช่นนี้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา319วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก ลงโทษ จำคุก 6 ปี จำเลย ให้การรับสารภาพใน ชั้นสอบสวน และ ที่ จำเลย นำสืบ ใน ชั้นพิจารณา เป็น ประโยชน์ แก่ การพิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78หนึ่ง ใน สาม คง จำคุก 4 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ข้อเท็จจริง รับฟัง เป็น ยุติ ได้ว่านางสาว จ. เป็น บุตร ของ นาย สันต์ สัตยานุกรม กับ นาง วิภา สัตยานุกรม ขณะ เกิดเหตุ เป็น ผู้เยาว์ อายุ 17 ปี เศษ ยัง ศึกษา อยู่ ใน ระดับ มหาวิทยาลัย จำเลย ทำงาน เป็น ลูกจ้าง อยู่ บริษัท อุตสาหกรรม ยางไทย จำกัด ซึ่ง เป็น นาย สันต์ ก่อน เกิดเหตุ นาง วิภา สังเกต เห็น นางสาว จ. ผู้เยาว์ กับ จำเลย พูด คุย สนิท สนม กัน จึง ได้ ว่ากล่าว ตักเตือน จำเลย มา พูดจา สู่ ขอ ผู้เยาว์ แต่ นาง วิภา ขอให้ จบ การศึกษา ก่อน ใน วันเกิดเหตุ นางสาว จินตนา ไม่ กลับมา นอน ที่ บ้าน รุ่งขึ้น นาง วิภา ไป ตาม นางสาว จ. ที่ บ้าน เพื่อน 3-4 แห่ง แต่ ไม่พบ ส่วน จำเลย ไม่ได้ ไป ทำงาน ที่ โรงงาน ตาม ปกติ นาง วิภา สงสัย ว่า จำเลย จะ มี ส่วน เกี่ยวข้อง กับ การ หาย ไป ของ นางสาว จ. ต่อมา วันที่ 4 กันยายน 2535 นาง วิภา ไป ที่ บ้าน จำเลย พบ นางสาว จ. กับ จำเลย อยู่ ที่ บ้าน ดังกล่าว นางสาว จ. เล่า ให้ นาง วิภา ฟัง ว่า ระหว่าง ที่ หาย ไป ได้ ค้าง คืน ที่ บ้าน จำเลย และ ที่ บางแสน ระหว่าง ค้าง คืน ด้วยกันจำเลย ได้ กระทำ ชำเรา นางสาว จ. ใน วันเดียว กัน นาย สันต์ ได้ ไป แจ้งความ ที่ สถานีตำรวจนครบาล ราษฎร์บูรณะ ให้ จับกุม จำเลยไป ดำเนินคดี แต่ นางสาว จ. ก็ หนี ไป อยู่ ที่ บ้าน จำเลย อีก เมื่อ จำเลย ได้รับ อนุญาต ให้ ปล่อย ชั่วคราว จำเลย ก็ ได้ อยู่กิน กับ นางสาว จ. ที่ บ้าน ของ จำเลย จน ถึง ขณะที่ มา เบิกความ ต่อ ศาล เป็น เวลา 8 เดือน เศษแล้ว
คดี มี ปัญหา วินิจฉัย ใน ชั้นฎีกา ว่า การ ที่ จำเลย พา นางสาว จ. ไป ค้าง คืน ที่ บางแสน และ กระทำ ชำเรา นางสาว จ. นั้น เป็น การกระทำ เพื่อ การ อนาจาร และ เป็น ความผิด ตาม ฟ้อง หรือไม่ เห็นว่า ขณะ เกิดเหตุนางสาว จ. อายุ 17 ปี เป็น ผู้เยาว์ ใน ความ ปกครอง ของ นาง วิภา ผู้เสียหาย แต่ จำเลย ก็ รักใคร่ ชอบพอ กับ ผู้เยาว์ ฉัน ชู้สาว มี เจตนา จะอยู่กิน ฉัน สามี ภริยา โดย เคย มา พูดจา สู่ ขอ ก่อน แล้ว แม้ ผู้เสียหายปฏิเสธ ด้วย เหตุผล ว่า ขอให้ ผู้เยาว์ จบ การศึกษา ก่อน ก็ ตาม ก็ น่า จะเป็น เรื่อง บ่ายเบี่ยง ตาม วิสัย ของ ฝ่าย สตรี ส่วน การ ที่ จำเลย ได้ กระทำชำเรา นางสาว จ. ก่อน ที่ จะ ได้รับ การ ยินยอม และ มี การ สมรส โดย ถูกต้อง ก่อน นั้น แม้ จะ เป็น การ ล่วงละเมิด ทั้ง ประเพณี อัน ดี งาม และสิทธิ ของ ผู้เสียหาย ใน ฐานะ ผู้ปกครอง ที่ จะ ปกป้อง เพื่อ ประโยชน์ของ ผู้เยาว์ ซึ่ง อ่อน วัย อยู่ ตาม กฎหมาย ก็ ตาม แต่ ก็ ปรากฏ จาก คำเบิกความของ นางสาว จ. ผู้เยาว์ ซึ่ง อายุ เกินกว่า 15 ปี แต่ ยัง ไม่เกิน 18 ปี เจือสม กับ คำพยาน ของ จำเลย ว่า นางสาว จ. ได้ยิน ยอม ให้ จำเลย กระทำ ชำเรา ที่ บางแสน โดย นางสาว จ. เป็น ผู้ ชวน จำเลย ไป ด้วย ซ้ำ และ ได้ความ ต่อมา ด้วย ว่า นางสาว จ. กับ จำเลย รักใคร่ ชอบพอ กัน ประสงค์ ที่ จะ เป็น สามี ภริยา กัน หลังจาก เกิดเหตุ นางสาว จ. ก็ เต็มใจ ไป อยู่ กับ จำเลย และ ยินยอม ให้ จำเลย กระทำ ชำเรา ด้วย ความสมัครใจมา ตลอด ประกอบ กับ ได้ความ อีก ว่า จำเลย ไม่เคย มี ภริยา มา ก่อนและ ประสงค์ ที่ จะ เลี้ยงดู นางสาว จ. เป็น ภริยา จึง ถือไม่ได้ว่า จำเลย ได้ กระทำผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรกที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายก ฟ้อง นั้น ต้องด้วย ความเห็น ของ ศาลฎีกา แล้วฎีกา ของ โจทก์ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share