คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทุจริตเบียดบังยักยอมเงินประเภทต่าง ๆ ไป มิได้บรรยายว่าจำเลยได้รับเงินประเภทใดมาเท่าใด ยักยอกเงินประเภทนั้นไปเท่าใด ไม่ปรากฏว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้ตรวจพบอะไร บรรยายว่าได้เบียดบังยักยอกเงินค่าดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์เป็นสองแง่ก็ไม่มีทางทราบว่าจำเลยยักยอกอะไร ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158
(อ้างฎีกาที่ 175/2497)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยซึ่งรับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนรัฐพาณิชย์ตำแหน่งเสมียนพนักงานประจำที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตคำชะอี ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ครอบครองจัดการเก็บดูแลรักษาและรับจ่ายเงินค่าจำหน่ายไปรษณียากรและอากรแสตมป์ รับไปรษณีย์ภัณฑ์ธรรมดาและลงทะเบียน รับพัสดุไปรษณีย์ในและต่างประเทศทั้งธรรมดาและลงทะเบียน และเก็บเงิน รับจดหมายและพัสดุไปรษณีย์ รับประกันต่างประเทศรับโทรเลขในและต่างประเทศ รับโทรศัพท์ทางไกล สาธารณะโทรศัพท์ รับและจ่ายเงินออมสิน รับและจ่ายเงินธนาณัติในประเทศ จ่ายไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์กับโทรเลขให้แก่ประชาชน และกิจการอื่น ๆ อันเกี่ยวกับงานไปรษณีย์อนุญาต มีหน้าที่จัดการรักษาทรัพย์และเงินตลอดจนเบิกเงินจากคลัง และส่งเงินเข้าคลัง อันเกี่ยวกับกิจการงานไปรษณีย์อนุญาต จำเลยบังอาจใช้อำนาจตำแหน่งที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกเงินจำหน่ายดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์ เงินค่าปรับ เงินค่าคำโทรเลข เงินค่าธนาณัติและเงินค่าธรรมเนียม เงินเช็คไปรษณีย์และค่าธรรมเนียมเช็คไปรษณีย์ และเงินเบิกจากคลัง ซึ่งอยู่ในหน้าที่ที่จำเลยจัดการรับจ่ายเก็บดูแลรักษา และอยู่ในความครอบครองของจำเลยดังกล่าวแล้วเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๙,๕๙๕ บาท ๙๘ สตางค์ เป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเองหรือของผู้อื่น ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนี้เป็นของราชการที่ทำการไปรษณีย์อนุญาต นายอำเภอคำชะอี ในฐานะนายไปรษณีย์อนุญาต ผู้แทนกรมไปรษณีย์ได้ตรวจพบ จึงได้จับกุมจำเลยนำส่งพนักงานสอบสวนและร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๓๕๒ และให้จำเลยใช้เงินแก่ผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยมีหน้าที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับกิจการไปรษณีย์อนุญาต และรับเงินประเภทต่าง ๆ รวมทั้งเบิกเงินจากคลังในหน้าที่ของจำเลยกับจัดการรับจ่ายและดูแลรักษา ในระหว่างตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕ เป็นเวลาถึง ๓ ปี ๓ เดือน จำเลยทุจริตเบียดบังยักยอมเงินประเภทต่าง ๆ เหล่านั้นไปรวม ๙,๕๙๕.๙๘ บาท โดยโจทก์มิได้บรรยายให้ได้ความชัดว่าจำเลยได้รับเงินประเภทใดมาเท่าใด และยักยอกเงินประเภทนั้นไปเท่าใด ดังนี้ จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิ่งของที่จำเลยต้องหาว่าเบียดบังยักยอกมิได้เลย แล้วจำเลยจะแก้ข้อหาให้ถูกต้องได้อย่างไร ทั้งในตอนท้ายที่กล่าวว่านายอำเภอคำชะอีในฐานะนายไปรษณีย์อนุญาตได้ตรวจพบ ก็ไม่ปรากกว่าได้ตรวจพบอะไร ถ้าไม่มีบัญชีหรือหลักฐานการรับเงินส่งเงินเช่นต้นขั้วใบเสร็จ ใบเบิกเงิน และใบนำส่งเงินแล้ว จะตรวจทราบได้อย่างไรว่าจำเลยรับมาเท่าใด ขาดไม่ส่งไปเท่าใด
ดวงตราไปรษณีย์ก็ระบุราคาอยู่แล้วว่าเท่าใด จำเลยรับมากี่ดวง จำหน่ายไปกี่ดวง และเหลือเท่าใด ก็ย่อมทราบได้ ซึ่งโจทก์ย่อมสามารถบรรยายในฟ้องได้โดยชัดแจ้ง แต่เมื่อฟ้องของโจทก์บรรยายว่า เงินค่าดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์เป็นสองแง่ดังนี้ ก็ไม่มีทางทราบได้ว่าจำเลยได้ยักยอกเงินค่าขายดวงตราไปรษณีย์หรือได้ยักยอกตัวดวงตราไปรษณีย์ ฟ้องขอโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘ เป็นฟ้องที่ไม่สมควรจะรับไว้พิจารณา ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๕/๒๔๙๗
พิพากษายืน

Share