คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระราชวังกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค แล้วจำเลยที่ 2 ได้แจ้งพร้อมแสดงหมายจับให้โจทก์ดู โจทก์จึงชำระเงินตามเช็คให้โดยจำเลยที่ 2 ตกลงว่าจะไปถอนคำร้องทุกข์ แต่จำเลยไม่ถอนคำร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงาน เป็นเหตุให้โจทก์ถูกเจ้าพนักงานจับกุมและควบคุมกักขัง ปราศจากเสรีภาพไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง อันเป็นการทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถูกกักขังและปราศจากเสรีภาพในร่างกายโดยมิชอบ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 311, 83ดังนี้ การฟ้องขอให้ลงโทษฐานความผิดต่อเสรีภาพตามมาตรา 310 ต้องปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือทำให้ปราศจากเสรีภาพต่อร่างกาย และการขอให้ลงโทษฐานประมาทตามมาตรา 311 โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายชัดว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาทอย่างไร ซึ่งจะพอทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ฟ้องโจทก์ยังไม่แสดงพอถึงการกระทำของจำเลยอันจะรับพิจารณาเอาเป็นความผิดแก่จำเลยตามที่ขอ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม (เทียบฎีกาที่ 105/2503)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปร้องทุกข์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง กล่าวหาว่าโจทก์ทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและจำเลยที่ 2 แจ้งเหตุที่แจ้งความร้องทุกข์ไว้พร้อมกับแสดงหมายจับโจทก์ให้ดู โจทก์จึงชำระเงินตามเช็คให้จำเลยที่ 2 โดยตกลงว่าจะถอนคำร้องทุกข์และมอบเช็คพิพาทคืนให้โจทก์ แต่จำเลยหาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงไม่โดยเหตุที่จำเลยทั้งสองไม่ถอนคำร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงาน โจทก์จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาที่จำเลยร้องทุกข์ไว้แล้วนั้น ทำให้โจทก์ถูกควบคุมกักขังปราศจากอิสระเสรีภาพ ไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง การกระทำของจำเลยเป็นการทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายถูกกักขังและปราศจากเสรีภาพในร่างกายโดยมิชอบขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 311, 83

ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการทำโดยเจตนาหรือโดยประมาท เพราะโจทก์อ้างบทกฎหมายที่อ้างว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิด ทั้งกระทำโดยเจตนาและโดยประมาท ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เจ้าพนักงานตำรวจไปจับโจทก์เอง มิใช่จำเลยแจ้งให้จับ เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานตามดุลพินิจที่เห็นสมควรมิได้เกิดจากการกระทำโดยเจตนาหรือประมาทของจำเลย และมิใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย แม้ฟ้องโจทก์จะถูกต้องตามกฎหมายการกระทำของจำเลยที่ไม่ไปถอนคำร้องทุกข์ดังโจทก์อ้างก็ไม่เป็นผิดกฎหมายซึ่งอ้างมาในฟ้องพิพากษายกฟ้อง ไม่จำต้องพิเคราะห์ว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ พิพากษายืนในผลแห่งคดี

โจทก์ฎีกา

ในระหว่างฎีกา ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องฎีกาเกี่ยวกับจำเลยที่ 2

ศาลฎีกาเห็นว่า การฟ้องขอให้ลงโทษทางอาญาฐานความผิดต่อเสรีภาพตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องตามมาตรา 310 ก็ต้องปรากฏว่าจำเลยได้มีเจตนาหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือทำให้ปราศจากเสรีภาพต่อร่างกายอย่างไรเลยและตามมาตรา 311 ที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องต้องปรากฏว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาทแต่ฟ้องโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายชัดว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาทอย่างไรอีก พอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์ยังไม่แสดงพอถึงการกระทำของจำเลย อันจะรับพิจารณาเอาเป็นความผิดแก่จำเลยทางอาญาฐานใดตามที่โจทก์ขอ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) จึงไม่เป็นฟ้องที่ควรรับไว้พิจารณา

พิพากษายืนในผลแห่งคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share