คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8910/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับคำฟ้อง ทั้งคำฟ้องและหมายเรียกคดีแพ่งสามัญศาลกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้ชัดเจน การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หากไม่พบหรือไม่มีผู้รับแทนโดยชอบให้ปิดหมายและเจ้าหน้าที่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมาย ทนายจำเลยยื่นคำให้การภายในกำหนด ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้โดยชอบและคดีมีเหตุผลเชื่อได้ว่าหมายเรียกที่ส่งพร้อมสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยจะต้องระบุวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้เช่นกัน จำเลยจะปฏิเสธว่าไม่ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์หาได้ไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งคำให้การของจำเลยไม่ว่าจะในวันที่จำเลยยื่นคำให้การหรือในวันหลังจากนั้นและได้นัดสืบพยานโจทก์ตามที่กำหนดไว้ ย่อมไม่ลบล้างวันนัดสืบพยานโจทก์ที่กำหนดไว้ในคำฟ้องและหมายเรียก จำเลยย่อมไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยหรือทนายจำเลยไม่ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานจึงเป็นการขาดนัดพิจารณา
โจทก์อ้างเหตุขอแก้ไขคำฟ้องว่าโจทก์พิมพ์ข้อความจำนวนสตางค์ผิดพลาด จึงขอแก้ไขจำนวนสตางค์ให้ตรงกับความจริงตามเอกสารท้ายฟ้อง อีกทั้งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องได้โดยไม่ต้องส่งสำเนาให้จำเลยทราบล่วงหน้าเพื่อให้โอกาสจำเลยมีโอกาสคัดค้านตาม ป.วิ.พ. มาตรา 181

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณาให้พิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๑ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์และออกคำบังคับตามคำแถลงของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน ๓๐ วัน และส่งคำบังคับแก่จำเลยทั้งสามด้วยวิธีปิดคำบังคับ โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ปิดคำบังคับวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๓ ปิดคำบังคับวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๒ ต่อมาวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ยื่นคำร้องว่าทนายจำเลยทั้งสามได้ยื่นคำให้การต่อศาลเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๑ ศาลมีคำสั่ง ในวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ โดยมิได้แจ้งคำสั่งให้ทนายจำเลยทั้งสามทราบ ทนายจำเลยทั้งสามจึงไม่ทราบคำสั่งศาลที่ให้ นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๑ ตามที่ศาลได้กำหนดนัดไว้แล้ว จำเลยทั้งสามไม่ได้ไปศาลในวันนัดสืบพยาน เพราะไม่ทราบนัด ไม่ได้จงใจขาดนัด ทั้งในวันนัดสืบพยานศาลยังอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องตามคำร้องของโจทก์โดยไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยทั้งสามได้คัดค้านก่อน กระบวนพิจารณาของศาลดังกล่าวเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ประเด็นแรกว่า ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหรือไม่ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำให้การของจำเลยทั้งสามว่า ให้นัดสืบพยานโจทก์ตามที่กำหนดไว้ เป็นการสั่งหลังจากทนายจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ กลับไปแล้ว ถือว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ ผิดพลาดเพราะวันนัดสืบพยานโจทก์ไม่ได้แจ้งให้ทราบในวันยื่นคำให้การ เห็นว่า ขณะศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับคำฟ้อง ทั้งคำฟ้องและหมายเรียกคดีแพ่งสามัญศาลกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้ชัดเจนในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๑ คดีนี้ การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสามศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หากไม่พบหรือไม่มีผู้รับแทนโดยชอบให้ปิดหมาย ปรากฏตามรายงานการเดินหมายกรมบังคับคดีว่า ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสามได้โดยวิธีปิดหมาย เมื่อได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสามแล้ว ทนายจำเลยทั้งสามยื่นคำให้การภายในกำหนด ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้โดยชอบและเมื่อพิจารณาสำเนาหมายเรียกที่ปรากฎในสำนวนคีนี้แล้วก็ปรากฏว่าระบุวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้ชัดเจน จึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่าหมายเรียกที่ส่งพร้อมสำเนา คำฟ้องให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จะต้องระบุวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้เช่นกัน จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จะปฏิเสธว่าไม่ทราบ วันนัดสืบพยานโจทก์หาได้ไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งคำให้การของจำเลยทั้งสามไม่ว่าจะในวันที่จำเลยทั้งสาม ยื่นคำให้การหรือในวันหลังจากนั้นโดยนัดสืบพยานโจทก์ตามที่กำหนดไว้ ย่อมไม่ลบล้างวันนัดสืบพยานโจทก์ ที่กำหนดไว้ในคำฟ้องและหมายเรียก จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่อาจอ้างได้ว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ หรือทนายจำเลยทั้งสาม ไม่ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์ที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ เมื่อจำเลยทั้งสามและทนายจำเลยทั้งสามไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานจึงเป็นการขาดนัดพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาและชี้ขาด ตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๒ แล้ว
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ในประเด็นต่อไปว่า ในวันสืบพยานโจทก์โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตโดยมิได้ส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสามทำคำคัดค้านจึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ถือได้ว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ เห็นว่า ตามคำร้องลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๑ โจทก์อ้างเหตุ ขอแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์พิมพ์ข้อความจำนวนสตางค์ผิดพลาด โจทก์จึงขอแก้ไขจำนวนสตางค์ให้ตรงกับความจริง ศาลฎีกาพิจารณาคำแก้ฎีกาของโจทก์ประกอบการ์ดบัญชีเงินกู้และบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมสัญญากู้ยืมเงินแล้วปรากฏข้อผิดพลาดตามที่โจทก์ขอแก้ไข ดังนี้จึงเป็นเรื่องแก้ไขความผิดพลาดให้ตรงกับความจริงตามเอกสารท้ายฟ้องเท่านั้น อีกทั้งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องได้โดย ไม่จำต้องส่งสำเนาให้จำเลยทั้งสามทราบล่วงหน้าเพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งสามมีโอกาสคัดค้านตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๑ ศาลชั้นต้นหาได้ดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบไม่ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก์.
(วรนาถ ภูมิถาวร – ปัญญา ถนอมรอด – สุเทพ เจตนาการณ์กุล)

Share