คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8907/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งมีชื่อ ว.เป็นเจ้าของโดยสงบเปิดเผยมีเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 23 ปี ว. กับโจทก์สมคบกันฉ้อฉลจำเลยด้วยการจดทะเบียนโอนขายที่ดินและบ้านพิพาทโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทนทำให้จำเลยซึ่งมีสิทธิที่จะบังคับให้ ว. ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทได้ก่อนโจทก์ต้องเสียเปรียบ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่ เป็นการกำหนดตามคำให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ การที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทโดยจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของเดิมนับแต่ปี 2516 จำเลยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์ด้วยการจดทะเบียนจำนองที่ดินและบ้านพิพาทต่อธนาคารตลอดจนนำบ้านพิพาทออกให้บุคคลอื่นเช่าและรับค่าเช่าเรื่อยมา แตกต่างไปจากที่ได้กล่าวไว้ในคำให้การ จึงอยู่นอกประเด็นข้อพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านไม้สองชั้นจากนายวิชัย อรัญชัยยะ แต่โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้เนื่องจากจำเลยและบริวาร ซึ่งอาศัยสิทธิของนายวิชัยอยู่ในที่ดินและบ้านดังกล่าวไม่ยอมออกไป โจทก์ได้รับความเสียหายเท่ากับค่าเช่าเดือนละ15,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 43,000 บาทและค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 20,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านตามฟ้องโดยการครอบครองปรปักษ์เป็นเวลากว่า 23 ปี โจทก์ซื้อที่ดินและบ้านตามฟ้องจากนายวิชัยโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทนเพื่อฉ้อฉลจำเลย โจทก์รู้อยู่ก่อนแล้วว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านที่แท้จริง จำเลยอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้นายวิชัยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านตามฟ้องให้แก่จำเลยได้ก่อนโจทก์ ที่ดินและบ้านตามฟ้องหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 8,000 บาทขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินตราจองเลขที่ 150 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา และบ้านเลขที่ 119 ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายอัตราเดือนละ 15,000 บาทนับตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ครบถ้วน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 8,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า จำเลยนำสืบพยานนอกประเด็นที่ให้การต่อสู้คดีดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยหรือไม่ พิเคราะห์คำให้การของจำเลยแล้วเห็นว่า จำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทโดยสงบเปิดเผยมีเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 23 ปี จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทอย่างแท้จริง นายวิชัยก็ยอมรับและไม่เคยโต้แย้งสิทธิของจำเลยหรือเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใดคำให้การของจำเลยจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทที่มีชื่อนายวิชัยเป็นเจ้าของโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วจำเลยกล่าวอ้างในคำให้การของตนต่อไปว่า นายวิชัยกับโจทก์สมคบกันฉ้อฉลจำเลยด้วยการจดทะเบียนโอนขายที่ดินและบ้านพิพาทโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทน ทำให้จำเลยซึ่งมีสิทธิที่จะบังคับให้นายวิชัยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทได้ก่อนโจทก์ต้องเสียเปรียบ และจำเลยจะใช้สิทธิฟ้องดำเนินคดีกับโจทก์และผู้เกี่ยวข้องเพื่อศาลพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทต่อไป อันหมายถึงจำเลยอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิที่ได้มาจากการครอบครองปรปักษ์ที่ดินและบ้านพิพาทก่อนโจทก์จะจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์จากนายวิชัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ท้ายคำให้การจำเลยยังคงยืนยันอยู่ว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทเพราะจำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้วขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่ จึงเป็นการกำหนดให้จำเลยนำสืบพิสูจน์ตามคำให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้วนั่นเองดังนั้น ที่จำเลยนำสืบพยานหลักฐานของตนว่าบิดามารดาจำเลยซื้อที่ดินและบ้านพิพาทในนามจำเลยแล้วยกให้จำเลยเป็นเจ้าของ จำเลยและครอบครัวอยู่อาศัยและประกอบกิจการค้าในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2516 ตลอดมาจนปัจจุบัน ทั้งเคยนำที่ดินและบ้านพิพาทไปจดทะเบียนจำนองต่อธนาคาร 2 ครั้ง ให้นายเสน่ห์ ดาราวลี เช่าหน้าบ้านพิพาทเพื่อประกอบกิจการท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2532 ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 3,500 บาท จึงมิใช่การนำสืบว่าจำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย หากแต่เป็นการนำสืบว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทโดยจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของเดิมนับแต่ปี 2516 จำเลยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์ด้วยการจดทะเบียนจำนองที่ดินและบ้านพิพาทต่อธนาคาร ตลอดจนนำบ้านพิพาทออกให้บุคคลอื่นเช่าและรับค่าเช่าเรื่อยมา พยานหลักฐานจำเลยมิได้แสดงไว้ ณ ที่ใดว่าจำเลยแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทจากนายวิชัยด้วยการครอบครองปรปักษ์ แต่กลับปรากฏจากพยานหลักฐานของจำเลยในลำดับต่อมาว่า จำเลยลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจโดยมิได้กรอกข้อความมอบให้มารดาเพื่อนำไปเพิ่มวงเงินจำนองต่อธนาคาร นายวิชัยนำใบมอบอำนาจนั้นไปกรอกข้อความว่าจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้นายวิชัย แล้วนายวิชัยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ปรากฏในคำให้การของจำเลย ทั้งไม่เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 แต่เป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่กล่าวอ้างว่านายวิชัยมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทไม่มีอำนาจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ สัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างโจทก์กับนายวิชัยไม่มีผลบังคับ และจำเลยมีสิทธิเรียกร้องติดตามเอาทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบนำไปสู่ข้อกฎหมายที่แตกต่างออกไปจากที่ได้กล่าวไว้ในคำให้การจึงอยู่นอกประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่ จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใด ๆ เพื่อสนับสนุนคำให้การของตน จำเลยก็มีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 วรรคหนึ่ง เมื่อพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ได้ให้การไว้ มาตรา 87(1) แห่งประมวลกฎหมายฉบับเดียวกันนี้ ห้ามศาลรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้น กล่าวคือ เสมือนหนึ่งไม่มีพยานหลักฐานดังกล่าวในสำนวนความ ที่จำเลยยกข้อเท็จจริงที่ตนนำสืบนอกเหนือจากที่ให้การไว้เป็นเหตุผลในฟ้องอุทธรณ์เพื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้จำเลยชนะคดี จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมานั้นจึงชอบแล้วส่วนฎีกาจำเลยที่กล่าวอ้างว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องอุทธรณ์เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เห็นว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทเกี่ยวข้องเฉพาะโจทก์จำเลยหาได้มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ ข้ออ้างของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share