คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8886/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 75 วรรคหนึ่ง มีเจตนารมณ์คุ้มครองนายจ้างที่ต้องประสบวิกฤตการณ์ในการดำเนินกิจการซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัย ส่งผลกระทบกระเทือนแก่กิจการของนายจ้างอย่างรุนแรงจนถึงขั้นมีความจำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว อันเป็นการให้สิทธิแก่นายจ้างที่จะไม่ให้ลูกจ้างทั้งหมดหรือบางส่วนทำงานเป็นการชั่วคราวโดยไม่เลือกปฏิบัติว่าลูกจ้างที่จะให้หยุดการทำงานชั่วคราวนั้นเป็นกรรมการลูกจ้างหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อให้นายจ้างมีโอกาสแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นให้หมดไปหรือบรรเทาลง และได้กำหนดมาตรการควบคุมไว้ในมาตรา 75 วรรคสอง หากปรากฏในภายหลังว่านายจ้างกล่าวอ้างยกเหตุจำเป็นต้องหยุดกิจการเป็นความเท็จเพื่อเอาเปรียบลูกจ้าง ลูกจ้างก็ชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องต่อศาลแรงงานเรียกค่าเสียหาย รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ หากมีตามสัญญาจ้างหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจากนายจ้างได้
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กรณีที่นายจ้างประสบวิกฤตการณ์จนจำเป็นต้องหยุดการดำเนินกิจการไว้ชั่วคราวตามมาตรา 75 มีเจตนารมณ์แตกต่างจากบทบัญญัติมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ที่ให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างที่เป็นกรรมการลูกจ้างโดยเฉพาะให้พ้นจากการเลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้งจากนายจ้างด้วยการเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใดที่อาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้ ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานอ้างว่า มีความจำเป็นต้องหยุดกิจการบางส่วนชั่วคราวโดยสาเหตุที่มิใช่เหตุสุดวิสัย และขออนุญาตศาลแรงงานจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างร้อยละห้าสิบของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับ เป็นการใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 75 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 จึงไม่จำต้องขออนุญาตต่อศาลแรงงานก่อน และกรณียังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิ ทั้งไม่ใช่กรณีที่ผู้ร้องจะใช้สิทธิทางศาล

ย่อยาว

คดีทั้งเจ็ดสำนวนศาลแรงงานกลางรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยเรียกผู้ร้องทุกสำนวนว่าผู้ร้อง และเรียกกรรมการลูกจ้างตามลำดับสำนวนว่า กรรมการลูกจ้างที่ 1 ถึงที่ 7
คดีทั้งเจ็ดสำนวนผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2541 ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตศาลเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างโดยอ้างเหตุว่าภาวะเศรษฐกิจของผู้ร้องตกต่ำอย่างรุนแรงจึงจำเป็นต้องลดพนักงานลงตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ข้อ 1 โดยจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย คดีอยู่ในระหว่างสืบพยานผู้ร้อง ผู้ร้องมีปัญหาด้านการเงินแต่ต้องรับภาระจ่ายค่าจ้างให้กรรมการลูกจ้างจนถึงปัจจุบัน จึงขออนุญาตจ่ายค่าจ้างให้กรรมการลูกจ้างจำนวนครึ่งหนึ่งของค่าจ้างที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2542 ถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2542
ศาลแรงงานกลางตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า ตามคำร้องไม่ใช่กรณีขอให้ศาลมีคำสั่งลงโทษกรรมการลูกจ้างจึงไม่ใช่กรณีที่จะใช้สิทธิทางศาล และไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งเจ็ดสำนวนอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 75 วรรคหนึ่ง มีเจตนารมณ์คุ้มครองนายจ้างที่ต้องประสบวิกฤตการณ์ในการดำเนินกิจการซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัย ส่งผลกระทบกระเทือนแก่กิจการของนายจ้างอย่างรุนแรงจนถึงขั้นมีความจำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว อันเป็นการให้สิทธิแก่นายจ้างที่จะไม่ให้ลูกจ้างทั้งหมดหรือบางส่วนทำงานเป็นการชั่วคราวโดยไม่เลือกปฏิบัติว่าลูกจ้างที่จะให้หยุดทำงานชั่วคราวนั้นเป็นกรรมการลูกจ้างหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อให้นายจ้างมีโอกาสแก้ไขวิกฤตการณ์ ที่เกิดขึ้นให้หมดไปหรือบรรเทาลง แต่นายจ้างก็มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินแก่ลูกจ้างในระหว่างหยุดกิจการชั่วคราวเพียงไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทำงาน อย่างไรก็ดี แม้กฎหมายจะให้สิทธินายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ได้ กฎหมายก็ไม่ได้ยอมให้นายจ้างกระทำไปโดยอิสระ แต่ได้กำหนดมาตรการควบคุมไว้ในมาตรา 75 วรรคสอง ว่า ก่อนจะหยุดกิจการชั่วคราว นอกจากจะให้นายจ้างต้องแจ้งลูกจ้างให้รู้ตัวล่วงหน้าเพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัววางแผนแก้ไขไม่ให้ได้รับความเสียหายในช่วงหยุดงานชั่วคราวแล้ว ยังได้กำหนดให้นายจ้างต้องแจ้งให้พนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าด้วย เพื่อให้พนักงานตรวจแรงงานใช้อำนาจที่มีอยู่ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 139 คอยตรวจสอบข้อเท็จจริงและควบคุมนายจ้างให้ปฏิบัติอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามมาตรา 75 หากปรากฏในภายหลังว่านายจ้างกล่าวอ้างยกเหตุจำเป็นต้องหยุดกิจการตามมาตรา 75 เป็นความเท็จเพื่อเอาเปรียบลูกจ้าง ลูกจ้างก็ชอบจะใช้สิทธิฟ้องต่อศาลแรงงานเรียกค่าเสียหายรวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ หากมีตามสัญญาจ้างหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจากนายจ้างได้ บทบัญญัติมาตรา 75 ดังกล่าวจึงมีเจตนารมณ์แตกต่างอย่างชัดเจนจากบทบัญญัติมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างที่เป็นกรรมการลูกจ้างโดยเฉพาะให้พ้นจากการเลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้งจากนายจ้างด้วยการเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใดที่อาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้ อันเป็นสถานการณ์ปกติของนายจ้างไม่ใช่กรณีที่นายจ้างประสบวิกฤตการณ์จนจำเป็นต้องหยุดการดำเนินกิจการไว้ชั่วคราวตามมาตรา 75 ข้างต้น ที่ผู้ร้องนายจ้างในคดีนี้อ้างว่ามีความจำเป็นต้องหยุดกิจการบางส่วนชั่วคราวโดยสาเหตุที่มิใช่เหตุสุดวิสัยและขอจ่ายเงินให้ลูกจ้างทั้งเจ็ดซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างร้อยละห้าสิบของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับ จึงเป็นการใช้สิทธิตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 75 วรรคหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องด้วยมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ที่จะต้องขออนุญาตต่อศาลแรงงานก่อน กรณีตามคำร้องยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิ และไม่ใช่กรณีที่ผู้ร้องจะใช้สิทธิทางศาลที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องชอบแล้ว
พิพากษายืน .

Share