คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เยาว์กับจำเลยรู้จักสนิทสนมกันมานานประมาณ 4 ปีมีความรักใคร่ชอบพอกันอยู่ก่อนแล้ว ผู้เยาว์เองก็รับว่าสมัครใจร่วมประเวณีกับจำเลย นอกจากนี้บิดามารดาจำเลยเคยติดต่อสู่ขอผู้เยาว์จากบิดามารดาผู้เยาว์แต่ตกลงในจำนวนเงินค่าสินสอดกันไม่ได้ ผู้เยาว์จึงติดตามไปอยู่กับจำเลย และหลังจากนั้นก็อยู่กินกับจำเลยมาโดยตลอดมิได้กลับไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาของตนจนผู้เยาว์ตั้งครรภ์ พฤติการณ์ของจำเลยที่พาผู้เยาว์ไปอยู่กินด้วยกันก็ด้วย ประสงค์จะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยาจริง ๆ ประกอบกับจำเลยไม่เคยมีภริยาและบุตรมาก่อน จำเลยย่อมอยู่ในฐานะเลี้ยงดูผู้เยาว์ฉันสามีภริยาได้โดยแท้ การกระทำของจำเลยไม่อาจถือว่าเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 4 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นางสาวสุวรรณี นิจก ผู้เยาว์มีอายุ 16 ปีเศษ เป็นบุตรของนายสุเทพ นิจก กับนางสุกัญญา เอี่ยมทองผู้เยาว์พักอาศัยอยู่กับบิดามารดาของตนและเรียนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคประจวบคีรีขันธ์ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องผู้เยาว์กับเพื่อนอีกหลายคนได้พากันไปเที่ยวน้ำตกห้วยยาง และได้พบกับจำเลยซึ่งเป็นญาติและมีบ้านพักอาศัยอยู่ใกล้กันกับผู้เยาว์จึงไปเที่ยวด้วยกัน ต่อมาเมื่อเพื่อนของผู้เยาว์พากันกลับบ้านหมดแล้ว จำเลยกับผู้เยาว์ได้ไปที่บ้านนายเอซึ่งเป็นเพื่อนจำเลย หลังจากนั้นได้ไปที่บ้านนายเจริญพี่ชายจำเลย ต่อจากนั้นก็พากันไปที่บ้านญาติจำเลยที่อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจำเลยกับผู้เยาว์ได้ร่วมประเวณีกันโดยผู้เยาว์ยินยอมและในเวลาต่อมาจำเลยได้พาผู้เยาว์ไปอยู่ด้วยกันที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2539 มีเจ้าพนักงานตำรวจมาจับจำเลยไปดำเนินคดีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยพาผู้เยาว์ไปอยู่กินด้วยกัน ก็ด้วยประสงค์ที่จะเลี้ยงดูเป็นภริยาเนื่องจากผู้เยาว์กับจำเลยรู้จักสนิทสนมกันมานานประมาณ 4 ปี และมีความรักใคร่ชอบพอกันอยู่ก่อนแล้ว และผู้เยาว์เองก็ยอมรับว่าตนสมัครใจร่วมประเวณีกับจำเลย นอกจากนี้บิดามารดาของจำเลยก็เคยติดต่อสู่ขอผู้เยาว์จากบิดามารดาของผู้เยาว์แต่ไม่อาจตกลงกันได้เกี่ยวกับจำนวนเงินค่าสินสอด ทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นหลานของมารดาผู้เยาว์ แต่อย่างไรก็ตามภายหลังเกิดเหตุผู้เยาว์ก็ยังคงอยู่กินกับจำเลยมาโดยตลอดมิได้กลับไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรากฏว่าผู้เยาว์ตั้งครรภ์ ได้หลายเดือนแล้วข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นว่าจำเลยพาผู้เยาว์ไปโดยตั้งใจเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยาจริง ๆ ประกอบกับจำเลยไม่เคยมีภริยาและบุตรมาก่อนด้วย ฉะนั้นจำเลยย่อมอยู่ในฐานะที่จะเลี้ยงดูผู้เยาว์ฉันสามีภริยาได้โดยแท้ กรณีเช่นนี้ย่อมไม่อาจถือว่าเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า ขณะที่ผู้เยาว์ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ นั้น เมื่อเพื่อนกับผู้เยาว์จะกลับบ้าน จำเลยไม่ยอมให้ผู้เยาว์กลับโดยใช้มือดึงผู้เยาว์ไว้และบอกว่าจะไปส่งกลับบ้านภายหลังนั้น ในข้อนี้เห็นว่า นอกจากข้อเท็จจริงจะได้ความจากนางสาวสนธยา สว่างโชติเพื่อนผู้เยาว์พยานโจทก์ว่าพยานชักชวนผู้เยาว์กลับบ้าน แต่ผู้เยาว์ไม่ยอมกลับซึ่งหากจะกลับก็กลับได้ ทั้งได้ความจากผู้เยาว์อีกปากหนึ่งว่าเมื่อนางสาวสนธยาชวนพยานกลับบ้านแต่พยานไม่กลับและหากจะกลับก็สามารถกลับได้ แต่พยานไม่กลับเพราะกลัวบิดามารดาของตนดุด่าเนื่องจากไม่ชอบจำเลย และหลังจากนั้นพยานได้ชักชวนจำเลยว่าจะไปไหนก็ไป ตามคำเบิกความของผู้เยาว์ดังกล่าวแสดงว่าผู้เยาว์ยินยอมติดตามไปอยู่กับจำเลยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share