คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4243/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
++ ความผิดต่อเสรีภาพ
++ ความผิดต่อร่างกาย
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 173 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++

ย่อยาว

เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเสรีภาพ ความผิดต่อร่างกาย
จำเลย ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๒๒ เดือน มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๑
ศาลฎีกา รับวันที่ ๒๓ เดือน เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๙ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้แกล้งจับกุมและกักขังหน่วงเหนี่ยวนายศักดิ์ชัย เลิศอำรุงวัฒนา ผู้เสียหาย ด้วยการใส่กุญแจมือแล้วนำตัวไปควบคุมไว้ในรถยนต์โดยขณะนั้นผู้เสียหายมิได้กระทำความผิดอาญาอื่นใด อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ผู้เสียหายต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยได้ทำร้าย ชกต่อยที่บริเวณใบหน้า และท้องของผู้เสียหายหลายครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่แขวงสุริยวงศ์ แขวงสี่พระยา และแขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรักกรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗, ๓๑๐, ๒๙๕, ๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๓๑๐ (ที่ถูกมาตรา ๓๑๐ วรรคหนึ่ง)ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่เพียงกระทงเดียว ตามมาตรา ๙๐ จำคุก ๑ ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๙ เวลา ๓.๔๐ นาฬิกา ขณะที่ผู้เสียหายกับพวกรับประทานอาหารอยู่ที่ปากซอยพัฒน์พงษ์ ๑ ริมถนนสีลม ผู้เสียหายโต้เถียงและชกต่อยกับชายคนหนึ่ง ต่อมาจ่าสิบตำรวจเจริญ จันทร์ทิพย์เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางรักเข้ามาไกล่เกลี่ย จนเลิกรากันไป ผู้เสียหายกับพวกจึงไปเล่นสนุกเกอร์ที่ร้านพีพีสนุกเกอร์ห่างออกไปประมาณ ๒ ช่วงตึก จำเลยแต่งเครื่องแบบตำรวจพร้อมกับชายคนที่ชกต่อยกับผู้เสียหาย และชายไทยอีกคนหนึ่งเข้ามาในร้านสนุกเกอร์ จำเลยถามหาผู้เสียหายแล้วตรงเข้าตบหน้าผู้เสียหาย ๑ ครั้ง จำเลยจับผู้เสียหายใส่กุญแจมือและพาไปขึ้นรถยนต์ขับพาไปจอดที่ที่จอดรถใต้สถานีตำรวจนครบาลบางรัก จำเลยนำตัวผู้เสียหายลงจากรถยนต์ จำเลยชกท้องผู้เสียหาย๒ ครั้ง ตบหน้า ๑ ครั้ง จากนั้นก็พาผู้เสียหายขึ้นรถยนต์คันเดิมไปที่ด่านตรวจรถยนต์ชั่วคราว จำเลยพูดกับเจ้าพนักงานตำรวจที่ด่านตรวจและนำผู้เสียหายลงจากรถ ถอดกุญแจมือของจำเลยออกจากข้อมือผู้เสียหายแล้วนำกุญแจมือของเจ้าพนักงานตำรวจนายอื่นใส่แทน แล้วจำเลยขับรถยนต์ออกไป เจ้าพนักงานตำรวจที่ด่านพาผู้เสียหายขึ้นรถยนต์กระบะสายตรวจไปสถานีตำรวจนครบาลบางรักทำการเปรียบเทียบปรับผู้เสียหายข้อหาไม่พกพาบัตรประจำตัวประชาชนเป็นเงิน ๒๐ บาท ต่อมาวันที่ ๑๔ กันยายน๒๕๓๙ เวลา ๐.๑๕ นาฬิกา ผู้เสียหายร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางรักให้ดำเนินคดีแก่จำเลย พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์โรงพยาบาลตำรวจตรวจ จนกระทั่งวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๙พนักงานสอบสวนจึงได้ลงรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีรับคำร้องทุกข์ของผู้เสียหาย
จำเลยนำสืบว่า เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๙ จำเลยเข้าเวรปฏิบัติราชการที่สถานีตำรวจนครบาลบางรัก ตั้งแต่เวลา๑๖ ถึง ๒๔ นาฬิกา กระทั่งเวลา ๐.๓๐ นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้นจำเลยขับรถยนต์ออกจากสถานีตำรวจพร้อมกับนายบรรจง พิระไรญาติที่มาพบเพื่อไปรับประทานอาหาร และรับบุตรสาวจำเลยที่ศูนย์การค้าดิโอลด์สยาม จากนั้น จำเลยขับรถยนต์ไปที่แผงขายเสื้อผ้าของภริยาที่ถนนพัฒน์พงษ์ เมื่อไปถึงนายพยัคฆ์ โคตรลา แจ้งว่าถูกผู้เสียหายทำร้ายร่างกาย ขณะนั้นผู้เสียหายอยู่ที่พีพีสนุกเกอร์ ใกล้กับที่เกิดเหตุจำเลยให้นายพยัคฆ์ พาจำเลยไปจับกุมผู้เสียหาย เมื่อไปถึงนายพยัคฆ์ชี้ผู้เสียหายที่กำลังเล่นสนุกเกอร์ และดื่มสุราอยู่กับพวก จำเลยแจ้งข้อหาแก่ผู้เสียหายว่าทำร้ายร่างกายผู้อื่น ผู้เสียหายมีอาการเมาสุราขัดขืนจำเลยจึงจับผู้เสียหายใส่กุญแจมือพาไปขึ้นรถยนต์ของจำเลยซึ่งมีบุตรสาวจำเลย และนายบรรจงนั่งอยู่ ระหว่างเดินทางไปสถานีตำรวจนครบาลบางรักพบด่านตรวจรถยนต์ชั่วคราวตรงจุดตัดของถนนสี่พระยากับถนนมหานคร จำเลยจึงมอบตัวผู้เสียหายให้แก่จ่าสิบตำรวจถวิล ยิ้มสนองและนำกุญแจมือของจ่าสิบตำรวจถวิลมาใส่แทน พร้อมกับแจ้งข้อหาว่าผู้เสียหายทำร้ายร่างกายผู้อื่น มีเจ้าทุกข์ไปรอที่สถานีตำรวจนครบาลบางรักแล้ว ต่อมาวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๙ จำเลยจึงทราบว่าเจ้าทุกข์คดีทำร้ายร่างกายไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาผู้เสียหายเจ้าพนักงานตำรวจจึงเปรียบเทียบปรับผู้เสียหายฐานไม่พกพาบัตรประจำตัวประชาชนแล้วปล่อยตัวไป
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางรัก วันเวลาเกิดเหตุจำเลยจับผู้เสียหายใส่กุญแจมือจากร้านพีพีสนุกเกอร์ขึ้นรถยนต์ไปควบคุมที่ด่านตรวจชั่วคราวของเจ้าพนักงานตำรวจภายหลังถูกเจ้าพนักงานตำรวจที่ด่านนำตัวไปดำเนินคดีข้อหาไม่พกบัตรประจำตัวประชาชน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายหรือไม่ ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายกับชายไม่ทราบชื่อวิวาทชกต่อยกันมีเจ้าพนักงานห้ามให้เลิกกันแล้ว ผู้เสียหายไปเล่นสนุกเกอร์ต่อมาจำเลยกับชายคนที่ชกต่อยกับผู้เสียหายและพวกอีกคนหนึ่งเข้าไปหาผู้เสียหายจำเลยตบหน้าผู้เสียหาย จับใส่กุญแจมือ นำขึ้นรถยนต์ซึ่งจำเลยขับ มีชายสองคนนั้นนั่งขนาบข้าง ไปที่ลานจอดรถสถานีตำรจนครบาลบางรัก ระหว่างทางจำเลยข่มขู่โดยถามว่าสูบกัญชาหรือไม่ จะเอาข้อหาซ่องโจรหรือไม่ จะนำตัวไปทิ้งน้ำที่สะพานสาธรให้คุยกับปลา ที่ลานจอดรถจำเลยตบหน้าและชกหน้าผู้เสียหายอีก และพาผู้เสียหายไปไว้ที่ด่านตรวจรถ จำเลยพูดกับตำรวจที่ด่านตรวจ กูหาเหยื่อมาให้มึง แล้วจำเลยขับรถออกไป เห็นว่า เหตุการณ์ตามที่ผู้เสียหายเบิกความ ผู้เสียหายได้แจ้งต่อร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์พนักงานสอบสวนแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๙ ร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์เบิกความรับว่าจริง และได้ส่งผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจในวันนั้น เมื่อสอบสวนผู้เสียหายผู้เสียหายได้ให้การเช่นที่เบิกความ โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยจับผู้เสียหายนำตัวไปถึงลานจอดรถสถานีตำรวจแล้ว ไม่ได้ส่งตัวให้แก่พนักงานสอบสวน แต่นำไปควบคุมที่ด่านตรวจ ผู้เสียหายยืนยันหนักแน่นมาแต่ต้น ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.๓ บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเอกสารหมาย จ.๕ ดังนี้น่าเชื่อว่าผู้เสียหายเบิกความตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จำเลยอ้างว่า จำเลยมีอำนาจจับผู้เสียหายเพราะนายพยัคฆ์แจ้งและชี้ตัวให้จับ ต้องใส่กุญแจมือเพราะผู้เสียหายมีพรรคพวกและไม่ยอมให้จับ ข้อนี้เห็นว่า เหตุทะเลาะวิวาทยุติลงแล้วก่อนหน้านั้น ไม่ใช่การกระทำผิดซึ่งหน้าที่ ว่านายพยัคฆ์ชี้ให้จับ เหตุวิวาทยังไม่รู้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด นายพยัคฆ์ไม่ได้ร้องทุกข์ไว้แล้วตามระเบียบ อีกทั้งไม่ใช่กรณีที่มีเหตุสงสัยว่ากระทำผิดมาแล้วจะหลบหนี จำเลยซึ่งไม่มีหมายจับไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะจับผู้เสียหาย ที่อ้างว่าต้องใส่กุญแจมือเพราะจำเลยไม่ยอมให้จับก็ไม่น่าเชื่อ การที่สามารถจับผู้เสียหายใส่กุญแจมือได้แสดงว่าไม่ได้ขัดขืน ที่ด่านตรวจมีเจ้าพนักงานตำรวจหลายคนจำเลยยังเอากุญแจมืออันอื่นมาเปลี่ยน ผู้เสียหายถูกควบคุมตัวอยู่จนด่านตรวจเลิกจึงถูกนำตัวไปสถานีตำรวจ จำเลยจับผู้เสียหายโดยไม่แจ้งข้อหาไม่ทำบันทึกจับกุม ไม่ส่งมอบตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี กลับนำไปควบคุมที่ด่านตรวจ ไม่ได้แจ้งร้อยตำรวจเอกยุทธพงษ์ทราบว่า จับผู้เสียหายข้อหาอะไร จนร้อยตำรวจเอกยุทธพงษ์สอบถามผู้เสียหายและดำเนินคดีข้อหาไม่พกบัตรประจำตัวประชาชน ล้วนแต่ชี้เจตนาจำเลยว่า กระทำโดยโกรธแค้น แสดงอำนาจ เพื่อข่มขู่กลั่นแกล้งผู้เสียหายให้เดือดร้อนเสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา ที่จำเลยขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องรุนแรงต่อความรู้สึกของประชาชน ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share