คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 45 ไร่เศษ ตามแผนที่ท้ายคำฟ้อง เป็นเพียงแต่การกะประมาณเนื้อที่ดินที่โจทก์ครอบครองตามสัดส่วนของตนเท่านั้น ต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นมีการรังวัดทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ครอบครองมีเนื้อที่ 50 ไร่ 41 ตารางวา อยู่ภายในกรอบเส้นสีเขียวตามแผนที่พิพาท โดยโจทก์และจำเลยต่างมิได้คัดค้าน จึงต้องถือว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องอยู่ภายในกรอบเส้นสีเขียวทั้งหมด การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 50 ไร่ 41 ตารางวา ไม่เป็นการพิพาทเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลย นายพาและนายเฮง เป็นบุตรของนายสิงห์ทองกับนางมีหรือบุญมี นางบุญมีเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 43 เนื้อที่ประมาณ 61 ไร่ 84 ตารางวา เดิมนางบุญมีแบ่งที่ดินดังกล่าวออกเป็น 4 ส่วน เท่าๆ กันยกให้บุตรดังกล่าวคนละส่วนโดยมีคันดินกั้นเป็นสัดส่วน ต่อมาเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2507 นางบุญมียกที่ดินให้แก่บุตรทั้งสี่คนครอบครองเฉพาะส่วนของตนตลอดมา สำหรับที่ดินในส่วนของนายพานั้นได้ขายให้โจทก์ก่อนแล้ว จึงไม่มีชื่อนายพาเป็นผู้รับการให้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ต่อมานายเฮงก็ขายที่ดินส่วนของตนเองให้โจทก์ โจทก์ยึดถือครอบครองที่ดินทั้งสามส่วนดังกล่าวรวมเนื้อที่ประมาณ 45 ไร่ โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จำเลยไม่เคยคัดค้านหรือโต้แย้ง เมื่อเดือนมกราคม 2540 โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยไปทำนิติกรรมรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 43 ตำบลโคกไทย (โคกปีบ) อำเภอศรีมโหสถ (ศรีมหาโพธิ) จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ประมาณ 45 ไร่ ตามแผนที่การครอบครองที่ดินพิพาทท้ายฟ้อง ให้จำเลยไปทำนิติกรรมรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2507 นางบุญมีได้จดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จำเลยและนายเฮงคนละประมาณ 20 ไร่ โดยให้ครอบครองทำประโยชน์ร่วมกัน ยังมิได้แบ่งแยกเป็นสัดส่วนสำหรับนายพาได้รับทรัพย์สินอย่างอื่นจากนางบุญมีแล้ว จึงไม่ได้รับส่วนแบ่งและไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท เหตุที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วนที่มากกว่า เพราะโจทก์มีกำลังความสามารถในการทำนามากกว่าจำเลย แต่ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันตามกฎหมาย จำเลยจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาท 1 ใน 3 ส่วน หรือประมาณ 20 ไร่ และยินยอมที่จะทำนิติกรรมรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทตามสัดส่วนดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 43 ตำบลโคกไทย (โคกปีบ) อำเภอศรีมโหสถ (ศรีมหาโพธิ) จังหวัดปราจีนบุรี (ที่ถูกภายในกรอบเส้นสีเขียวทั้งหมดด้วย) เนื้อที่ 50 ไร่ 41 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.5 ให้จำเลยไปทำนิติกรรมแบ่งแยกสิทธิครอบครองให้โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า นายสิงห์ทองกับนางบุญมี มีบุตรด้วยกัน 4 คน คือนายเฮง จำเลย นายพาและโจทก์ ตามลำดับเดิมนางบุญมีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 43 ตำบลโคกไทย (โคกปีบ) อำเภอศรีมโหสถ (ศรีมหาโพธิ) จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ประมาณ 61 ไร่ 84 ตารางวา ตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.2 ปัจจุบันโจทก์และจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทในการทำแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.5 โจทก์นำชี้ที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์ครอบครองเนื้อที่ 50 ไร่ 41 ตารางวา (ภายในกรอบเส้นสีเขียว) จำเลยนำชี้ส่วนที่จำเลยครอบครองเนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 29 ตารางวา (ภายในกรอบเส้นสีน้ำเงิน) คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ โจทก์มีนางสมมิตร ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์และนายพา เบิกความว่า เมื่อปี 2507 นางบุญมีแบ่งที่ดินพิพาทให้บุตรสี่คนได้แก่นายเฮง จำเลย นายพาและโจทก์ ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.3 โดยมีแนวคันดินกั้นเป็นสัดส่วน บุตรแต่ละคนเข้าครอบครองทำประโยชน์ด้วยการทำนา ต่อมาวันที่ 16 เมษายน 2507 นางบุญมีจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทแก่นายเฮง จำเลยและโจทก์ เหตุที่ไม่มีชื่อนายพาเป็นผู้รับการให้ในสารบัญการจดทะเบียนเพราะก่อนหน้านั้นนายพาขายที่ดินพิพาทส่วนของตนให้โจทก์ในราคา 24,000 บาท นายพาจึงทำหนังสือสละที่ดินให้โจทก์เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2507 ต่อมาปี 2512 นายเฮงขายที่ดินพิพาทส่วนของตนให้โจทก์ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสามส่วนภายในกรอบเส้นสีเขียว ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.5 ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยกับนายเฮงเบิกความว่า นางบุญมีแบ่งที่ดินพิพาทเป็นสามส่วน โจทก์กับนางบุญมีทำประโยชน์ส่วนหนึ่ง จำเลยและนายเฮงทำประโยชน์คนละส่วน โดยนางบุญมียังไม่ได้ยกที่ดินพิพาทให้ผู้ใด ในปี 2507 นางบุญมีแบ่งที่ดินพิพาทให้บุตรสามคนได้แก่โจทก์ จำเลย และนายเฮง ส่วนนายพาไม่ได้รับส่วนแบ่งพราะได้รับเงินจากการขายที่ดินแปลงอื่นของนางบุญมีไปแล้ว เห็นว่า นอกจากโจทก์มีนางสมมิตรบุตรสาวโจทก์และนายพามาเบิกความยืนยันว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทภายในกรอบเส้นสีเขียว ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.5 แล้ว โจทก์ยังมีนายล้วนมาเบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงดังกล่าว นายล้วนพยานโจทก์ปากนี้เป็นญาติทั้งโจทก์และจำเลย สำหรับนายพาเป็นน้องจำเลย ประกอบกับบุคคลทั้งสองต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน คำเบิกความของนายล้วนกับนายพาจึงมีน้ำหนักในการรับฟัง จำเลยให้การและนำสืบต่อสู้คดีว่านางบุญมีไม่ได้แบ่งที่ดินพิพาทให้นายพา แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่านายพาได้รับส่วนแบ่งที่ดินพิพาทด้วย และโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายพาตามฟ้องจริง และข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของคู่ความปรากฏว่าเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2507 นายพาได้ทำบันทึกถ้อยคำสละสิทธิที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้โจทก์ ซึ่งจำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานด้วย ตามสำเนาภาพถ่ายบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.4 เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยให้การและนำสืบต่อสู้คดีอันเป็นเท็จ นายเฮงเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า นางบุญมีแบ่งที่ดินพิพาทออกเป็นสี่แปลงที่ดินแต่ละแปลงมีคันนากั้นเป็นแนวเขต โดยโจทก์ทำนาในที่ดินพิพาท 2 แปลง ส่วนพยานกับจำเลยทำนาคนละแปลง ในปี 2507 พยานทำนาในที่ดินพิพาทตามแผนที่เอกสารหมาย จ.3 ในส่วนที่ 1 จำเลยทำนาในส่วนที่ 2 โจทก์ทำนาในส่วนที่ 3 และที่ 4 ต่อมาพยานขายที่ดินพิพาทส่วนของตนให้โจทก์ แล้วโจทก์แลกเปลี่ยนที่ดินในส่วนที่ซื้อจากพยานกับที่ดินของจำเลยเพื่อให้ที่ดินโจทก์อยู่ติดกันทุกแปลง หลังจากนั้นโจทก์และจำเลยต่างทำนาในที่ดินตามที่ตกลงแบ่งส่วนกันจนถึงปัจจุบัน โดยโจทก์และจำเลยไม่เคยทะเลาะหรือโต้เถียงกัน เห็นได้ว่าคำเบิกความของนายเฮงดังกล่าวเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ นอกจากนี้นางปริญดา เจ้าหน้าที่ที่ดินซึ่งไปทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.5 เบิกความว่า ในการรังวัดทำแผนที่พิพาทโจทก์และจำเลยต่างนำชี้ที่ดินพิพาทส่วนที่ตนครอบครอง ในระหว่างการรังวัดโจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งการรังวัดแต่อย่างใด นางปริญดายังเบิกความด้วยว่า ที่ดินของโจทก์และจำเลยมีแนวคันนาแบ่งแยกเป็นแนวเขต ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทภายในกรอบเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.5 ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 50 ไร่ 41 ตารางวา เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ในคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 45 ไร่เศษ ตามแผนที่ท้ายคำฟ้อง ก็เป็นเพียงแต่การกะประมาณเนื้อที่ดินที่โจทก์ครอบครองตามสัดส่วนของตนเท่านั้น ต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นมีการรังวัดทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ครอบครองมีเนื้อที่ 50 ไร่ 41 ตารางวา อยู่ภายในกรอบเส้นสีเขียว ตามแผนที่พิพาท โดยโจทก์และจำเลยต่างมิได้คัดค้าน จึงต้องถือว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องอยู่ภายในกรอบเส้นสีเขียวทั้งหมด การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 50 ไร่ 41 ตารางวา จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 5,000 บาท แทนโจทก์

Share