แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนี้ตามคำพิพากษาประมาณ 2,500 บาท เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดที่ดินราคา 40,000 บาท ที่ดินนี้เป็นสินบริคณห์ของจำเลยกับผู้ร้องและเป็นทรัพย์สินชิ้นเดียวของจำเลยที่ไม่มีกรณีพิพาท ส่วนทรัพย์อื่นกำลังเป็นคดีพิพาทกันทั้งสิ้น การยึดนี้ไม่เป็นการยึดทรัพย์เกินความจำเป็น (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284)
ย่อยาว
เรื่องเดิมมีว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์บังคับคดี นำยึดที่ดิน ๑ แปลงอ้างว่าเป็นของจำเลย
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องว่าเป็นสามีจำเลยและที่ดินนี้เป็นสินบริคณห์ หนี้ที่จำเลยจะต้องชำระมีประมาณ ๒,๕๐๐ บาท แต่ที่ดินนี้ราคา ๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์ยึดที่ดินทั้งแปลงโดยเจตนาจะให้ผู้ร้องเสียหาย การยึดที่ดินราคาสูงกว่าหนี้มาก ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๔ ขอให้เพิกถอนคำสั่งขายทอดตลาด
วันนัดพร้อมพิจารณาคำร้อง ผู้ร้องแถลงว่าทรัพย์อื่นของจำเลยยังมีอยู่ แต่กำลังเป็นความอยู่ทั้งสิ้น คงเหลือแต่ที่ดินที่โจทก์นำยึดแปลงเดียว
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาว่าโจทก์แกล้งยึดให้ผู้ร้องเสียหาย และยึดทรัพย์ราคามากกว่าหนี้ ขัดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๔
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อทรัพย์อื่นของจำเลยล้วนกำลังเป็นความกันอยู่ คงเหลือแต่ที่ดินแปลงนี้แปลงเดียวเท่านั้น เมื่อที่ดินนี้ยังมิได้แบ่งเป็นของจำเลยและผู้ร้องเป็นส่วนสัด โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมนำยึดทั้งแปลงได้ จะถือว่าแกล้งยึดหรือยึดทรัพย์เกินความจำเป็นไม่ได้
พิพากษายืน.