แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยถูกรุมทำร้ายด้วยอาวุธในเวลากลางคืน จำเลยเข้าใจว่าทั้งถูกตีและถูกฟันไม่อาจรู้ได้ว่าจะเป็นอันตรายสักเพียงไหน จำเลยจึงใช้ปืนยิงไปยังกลุ่มคนที่ทำร้าย กระสุนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งจำเลยเองก็ไม่รู้ว่ากระสุนปืนถูกผู้ใด ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยกระทำการป้องกันตัวในการที่คนกลุ่มนั้นทำร้าย และไม่มีอาวุธอื่นใช้ต่อสู้ได้ การป้องกันของจำเลยที่ใช้ปืนยิง เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายร่างกายนายม้วน บุญแตง จนถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ และนับโทษต่อจากคดีดำที่ ๓๓๕/๒๕๐๘
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ยิงผู้ตายจริง แต่ยิงเพื่อป้องกันตัว โดยผู้ตายใช้มีดฟันจำเลยหลายแผล และรับว่าเป็นจำเลยในคดีอาญาดำที่ ๓๓๕/๒๕๐๘
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังว่า จำเลยได้กระทำผิดจริงตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ให้จำคุกจำเลย ๑๕ ปี จำเลยให้การรับชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา ๗๘ จงจำคุกจำเลยมีกำหนด ๑๐ ปี และให้นับโทษต่อจากคดีแดงที่ ๓๒๘/๒๕๐๘
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่จำเลยนำสืบว่าที่ยิงผู้ตายเพราะผู้ตายจะทำร้ายจำเลย เป็นการขัดกับคำให้การชั้นสอบสวน เพราะไม่ได้อ้างว่าเนื่องจากเล่นการพนันกัน เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยก็หนีไป แสดงว่าจำเลยรู้ตัวอยู่แล้วว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด พยานจำเลยที่นำสืบฟังไม่ได้ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเมื่อสรุปแล้วฟังได้ว่า จำเลยกับคนอื่นและผู้ตายได้เล่นการพนันเบี้ยโบกที่บ้านผู้ตาย จำเลยเป็นฝ่ายเล่นได้จะเลิก ผู้ร่วมวงขอแก้ตัวก็ไม่ยอม ความโกรธเคืองจึงเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่ฝ่ายจำเลยโกรธ ไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะเอาปืนเที่ยวยิงใคร ๆ ก่อน แต่มีเหตุผลที่ฟังได้แน่ว่าจำเลยถูกรุมตีแล้วปืนจึงดังขึ้น ๑ นัด อาวุธปืนของจำเลยตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ที่ข้อมือของจำเลยถูกตีบวมและถลอก แสดงว่าจำเลยถูกตีมือที่ถือปืน ปืนจึงตก คงเหลือข้อวินิจฉัยแต่เพียงว่า ปืนลั่นเองเพราะถูกตีมือหรือจำเลยยิง ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยถูกรุมทำร้ายด้วยอาวุธในเวลากลางคืน จำเลยเข้าใจว่าทั้งถูกตีและถูกฟัน ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเป็นอันตรายสักเพียงไหน แม้จำเลยยิงก่อนแล้วจึงถูกตีมือ ปืนตก ก็เป็นการป้องกันตัวในการที่ถูกรุมทำร้าย การที่ผู้ตายเจ้าของบ้านถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย จำเลยก็ไม่รู้ว่ากระสุนปืนไปถูกผู้ใด ตามเหตุผลจำเลยใช้ปืนต่อสู้ก็ต้องยิงไปทางกลุ่มคนที่ทำร้าย หากปืนถูกผู้ตายโดยจำเลยยิง ผู้ตายก็ต้องอยู่ในกลุ่มที่ทำร้ายจำเลย จำเลยกระทำการป้องกันตัวในการที่คนกลุ่มนั้นทำร้าย และไม่มีอาวุธอื่นที่จะใช้ต่อสู้ได้ การป้องกันของจำเลยที่ใช้ปืนยิง เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุแล้ว จำเลยจึงไม่มีความผิด พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์.