คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนเล็กกลยิงกราดผู้เสียหายและผู้ตายในโรงภาพยนตร์ แต่มีพยานแวดล้อมโดยผู้เสียหายคนหนึ่งเห็นจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุในเวลาใกล้เคียงกับขณะเกิดเหตุ สอดคล้องกับคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลย จำเลยรับสารภาพทั้งชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ทั้งยังนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและขอขมาต่อผู้เสียหายและบิดามารดาของผู้ตายด้วยความสมัครใจเพราะสำนึกผิดและโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชนและสื่อมวลชน พยานโจทก์ทุกปากไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ไม่มีเหตุผลที่จะให้การปรับปรำจำเลย พนักงานสอบสวนก็ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลยในวันพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จำเลยก็ยังให้การรับสารภาพในตอนต้น แม้ต่อมาจะกลับให้การปฏิเสธแต่ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยก็มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา เชื่อว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนเล็กกลแบบ เอเค 47 ขนาด 7.62 มม.1 กระบอก พร้อมด้วยกระสุนปืน 12 นัด และซองบรรจุกระสุนปืน 1 ซองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และพาอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านทางสาธารณะและในที่ชุมชนที่จัดให้มีการฉายภาพยนตร์เพื่อการรืนเริงโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วในวันเกิดเหตุเวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยนี้กับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนยิงกราดสาดกระสุนปืนจำนวนหลายชุด ชุดละหลายนัดเข้าไปในบริเวณผู้นั่งชมภาพยนตร์จำนวนหลายคน โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่านายสมพร กับพวกผู้ชมภาพยนตร์ให้ตาย และเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงออกไปนั้นจะต้องถูกบุคคลอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นได้อีกโดยจำเลยกับพวกไตร่ตรองไว้ก่อน กระสุนปืนที่จำเลยกับพวกยิงออกไปนั้นถูกตามบริเวณร่างกายของนายสมพร และเด็กชายสุทินถึงแก่ความตายและถูกนางกิ้มเซี้ยง นางพรอย นายณรงค์ นายวิชิต นายบุญชวน และนายมาโนช ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายและสาหัส ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80, 376, 32, 33, 83, 91 ที่แก้ไขแล้วพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ, 55, 78ที่แก้ไขแล้ว ริบของกลางและนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาเรื่องก่อน
เดิมจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แต่ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยได้ขอถอนคำให้การเดิมแล้วให้การใหม่เป็นให้การปฏิเสธ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา289 (4), 289 (4) ประกอบกับมาตรา 80 และมาตรา 376 กรณีเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 289 (4) ให้ประหารชีวิตจำเลยและผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 78ประกอบกับมาตรา 55 ลงโทษจำคุก 10 ปี และผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 8 ทวิวรรคสอง ลงโทษจำคุก 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิตสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่เจ้าของ และไม่ริบของกลางอื่นที่ศาลสั่งริบแล้วกับให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาเรื่องก่อน
โจทก์จำเลยต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเลยแต่มีพยานแวดล้อม ปัญหาอยู่ที่ว่าพยานแวดล้อมดังกล่าวแล้วมีน้ำหนักพอรับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ คดีนี้แม้ไม่มีใครเห็นจำเลยเป็นคนยิงแต่นายบุญชวนเบิกความว่า เห็นจำเลยเดินสวนออกมาจากโรงภาพยนตร์ขณะที่นายบุญชวนเดินเข้าไปนั่งดูภาพยนตร์อยู่ราว ชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงปืนหลายนัด และตนก็ถูกยิงจนถึงกับต้องตัดขาขวา อันแสดงว่าจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุในเวลาใกล้เคียงกับขณะเกิดเหตุ และสอดคล้องกับคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลย เอกสารหมาย จ.8 ว่าจำเลยเข้าไปเอารถจักรยานยนต์ของจำเลยที่นายตึ๋งยืมมาจากในโรงภาพยนตร์ชั่วคราวที่อยู่กลางแจ้ง ซึ่งทางโรงอนุญาตให้นำรถจักรยานยนต์เข้าไปจอดดูภาพยนตร์ได้ ขาเข้าไม่มีเรื่อง แต่ขาออกนายสมพรผู้ตายหาว่าจำเลยแกล้งมาเอารถเพื่อดูภาพยนตร์ไม่เสียเงินจำเลยจึงกลับไปบ้านแม่ยายไปเอาปืนอาร์ก้าซึ่งซ่อนไว้ในสวน ได้ปืนแล้วก็เดินจากบ้านกลับมาที่โรงภาพยนตร์อีก เอาปืนไปซุกไว้ที่รถยนต์รับจ้างหน้าโรง แล้วเดินไปดูผู้ตาย เห็นหันหลังให้จึงกลับมาเอาปืนที่รถไปยิงผู้ตาย ระยะทางจากบ้านแม่ยายมาโรงภาพยนตร์ประมาณ 1 กิโลเมตร การไปกลับ รวมทั้งไปเอาปืนอาร์ก้าที่ซ่อนในสวนและเอามาซุกไว้ที่รถ ไปดูผู้ตายก่อน แล้วจึงกลับมาเอาปืนไปยิง ก็คงจะเป็นระยะเวลาใกล้เคียงกับที่นายบุญชวนเบิกความว่าพบกับจำเลยเดินออกไปแล้วประมาณ 1 ชั่วโมงจึงได้ยินเสียงปืนดังหลายนัด มิใช่พอจำเลยออกไปก็มีเสียงปืนดังทันที คำเบิกความของนายบุญชวนกับคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยจึงสอดคล้องกันมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ คำรับสารภาพทั้งชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยทำต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งจำเลยยังนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและขอขมาต่อผู้เสียหายและบิดามารดาผู้ตายตามภาพถ่ายหมาย จ.2,จ.4, จ.6, จ.7, จ.9 และ จ.10 พันตำรวจโทวิพันธ์ พนักงานสอบสวนเบิกความรับรองว่าจำเลยได้รับสารภาพ นำชี้ และขอขมาด้วยความสมัครใจเพราะสำนึกผิดเสียใจที่ทำให้บุคคลซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรด้วยต้องบาดเจ็บล้มตายหลายคนการนำชี้ที่เกิดเหตุและขอขมาก็ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชนและสื่อมวลชนด้วยไม่น่าจะเป็นเรื่องที่บังคับขู่เข็ญดังจำเลยอ้าง เชื่อได้ว่าจำเลยกระทำด้วยความสมัครใจ พยานโจทก์ทุกปากไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุผลที่จะให้การปรักปรำจำเลย โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนก็ให้ความเป็นธรรมแก่จำเลย ส่วนที่จำเลยปฏิเสธในข้อหาต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ก็บันทึกในคำให้การว่าจำเลยปฏิเสธและในวันพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น เมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยก็ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ทั้งไม่ต้องการทนายความ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 27 มิถุนายน 2528 หากจำเลยถูกบังคับให้รับสารภาพในชั้นสอบสวนก็ชอบที่จะปฏิเสธในชั้นศาลได้ แต่จำเลยก็ยังรับสารภาพต่อศาล แม้ต่อมาจะกลับให้การปฏิเสธก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นเพราะเหตุใด นอกจากนั้นเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยก็มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษานี้แต่อย่างใดด้วย สรุปแล้วเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share