แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยมิได้กรอกข้อความทั้งมอบหนังสือยินยอมของภริยาซึ่งลงลายมือชื่อของภริยาโดยมิได้กรอกข้อความพร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้ผู้อื่นไป แสดงถึงความประมาทเลินเล่อของโจทก์ เมื่อมีผู้กรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ของโจทก์และนำไปแสดงต่อบุคคลภายนอก จนบุคคลภายนอกหลงเชื่อว่าโจทก์ได้มอบอำนาจเช่นนั้นจริง โจทก์จะยกความประมาทเลินเล่อของตนขึ้นเป็นข้ออ้างเพื่อเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินที่บุคคลภายนอกรับโอนโดยสุจริตหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 822 ประกอบมาตรา 821
เมื่อโจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้เห็นถึงความไม่สุจริตของผู้รับซื้อฝาก เพราะผู้รับซื้อฝากได้รับประโยชน์แห่งข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ว่าบุคคลทุกคนกระทำโดยสุจริต เมื่อโจทก์มิได้สืบให้เห็นถึงความไม่สุจริตของผู้รับซื้อฝาก ทั้งผู้รับซื้อฝากเบิกความยืนยันความสุจริตของตนจึงต้องฟังว่าผู้รับซื้อฝากกระทำการโดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝาก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 818, 3603 และ 3605 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2534 จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ โดยนำหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความซึ่งโจทก์ได้มอบไว้แก่นายณรงค์กุสลานุภาพเพื่อให้เป็นตัวแทนโจทก์ในการจำนองที่ดินแก่ธนาคารมากรอกข้อความอันเป็นเท็จว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินของโจทก์ทั้งสามแปลงดังกล่าวแล้วนำไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดระยองเพื่อให้โอนที่ดินแก่จำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานที่ดินจึงจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2534จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3603 แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทน และเมื่อวันที่ 29พฤศจิกายน 2534 จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3605 แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4โดยไม่มีค่าตอบแทน ขอให้พิพากษาเพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 818,3603 และ 3605 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพิกถอนการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3603 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และเพิกถอนการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3605 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3และที่ 4 ให้ที่ดินทั้งสามแปลงกลับมาเป็นของโจทก์โดยปลอดภาระผูกพัน
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์มอบหนังสือมอบอำนาจให้ไว้แก่นายณรงค์ กุสลานุภาพนั้นไม่เป็นความจริง โจทก์รู้แล้วว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1แต่มิได้โต้แย้งจำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3603 จากจำเลยที่ 1โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเพื่อมอบให้นายณรงค์ กุสลานุภาพ จดทะเบียนจำนองที่ดินแก่ธนาคาร แต่โจทก์มีเจตนามอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่มีการปลอมหนังสือมอบอำนาจดังที่โจทก์ฟ้องโดยโจทก์ร่วมกับผู้มีชื่อกระทำการเพื่อฉ้อฉลบุคคลภายนอก เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 3 และที่ 4 รับซื้อฝากที่ดินจากจำเลยที่ 1โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 818 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับนางวิลัย วงศ์ศรีน้องสะใภ้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 818, 3603 และ 3605 โดยใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว โจทก์เคยนำที่ดินทั้งสามแปลงจำนองไว้แก่ธนาคารกสิกรไทยจำกัด สาขาแกลง เพื่อเป็นประกันการกู้เงิน เมื่อไถ่ถอนจำนองแล้ว โจทก์ได้มอบโฉนดที่ดินไว้แก่นางวิลัย ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2534 นางวิลัยประสงค์จะกู้เงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาแกลง อีก จึงได้ติดต่อและได้รับคำแนะนำจากนายณรงค์ กุสลานุภาพ พนักงานสินเชื่อของธนาคารให้นำที่ดินดังกล่าวมาจำนองไว้เป็นประกันเงินกู้ โจทก์จึงได้มอบหนังสือมอบอำนาจซึ่งมีแต่ลายมือชื่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4 และหนังสือให้ความยินยอมของภริยาซึ่งยังมิได้กรอกข้อความให้นางวิลัยไปพร้อมกับสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านเพื่อนำไปให้นายณรงค์จดทะเบียนจำนอง ต่อมาได้มีการปลอมใบมอบอำนาจโดยเติมข้อความเป็นว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1ขายที่ดินทั้งสามแปลงให้แก่จำเลยที่ 1 มีการจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงเป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2534 ตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.7 และต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2534จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3603 แก่จำเลยที่ 2ตามสำเนาหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเอกสารหมาย จ.8 และวันที่ 27พฤศจิกายน 2534 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3605แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเอกสารหมาย จ.9ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 818 จำเลยที่ 1 ได้นำไปค้ำประกันเงินกู้นางสาลี่นึกสม ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องนายณรงค์ นายบันเทิง ชูติปัญญะบุตรและจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นจำเลยในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมต่อศาลชั้นต้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้หลบหนีในระหว่างพิจารณา ศาลออกหมายจับและมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องสำหรับนายณรงค์และนายบันเทิง แต่ฟังข้อเท็จจริงว่ามีการปลอมใบมอบอำนาจของโจทก์จริง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 3603 และ 3605 ของจำเลยที่ 2 และของจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมการโอนได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.4 โดยมิได้กรอกข้อความ ทั้งมอบหนังสือยินยอมของภริยาซึ่งลงลายมือชื่อของภริยาโดยมิได้กรอกข้อความพร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้ผู้อื่นไปแสดงถึงความประมาทเลินเล่อของโจทก์เมื่อมีผู้กรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจเหนือไปจากวัตถุประสงค์ของโจทก์และนำไปแสดงต่อบุคคลภายนอกจนบุคคลภายนอกหลงเชื่อว่าโจทก์ได้มอบอำนาจเช่นนั้นจริง โจทก์จะยกความประมาทเลินเล่อของตนขึ้นเป็นข้ออ้างเพื่อเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินที่บุคคลภายนอกรับโอนโดยสุจริตหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 822ประกอบมาตรา 821 ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้เห็นถึงความไม่สุจริตของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เพราะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับประโยชน์แห่งข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6ว่าบุคคลทุกคนกระทำโดยสุจริต ซึ่งในเรื่องนี้ตัวโจทก์เองมิได้เบิกความให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่สุจริตอย่างไร แม้ต่อมาจะมีการนำเรื่องนี้ไปฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ด้วย คงฟ้องจำเลยที่ 1 คดีนี้กับบุคคลอื่นคือนายณรงค์และนายบรรเทิงเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าโจทก์เชื่อว่า จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ไม่มีส่วนร่วมในการปลอมใบมอบอำนาจหรือใช้ใบมอบอำนาจปลอมสำหรับข้อเท็จจริงที่ว่า นางวิลัยพยานโจทก์เป็นผู้นำใบมอบอำนาจและโฉนดที่ดินทั้งสามฉบับไปมอบให้แก่นายณรงค์เพื่อขอกู้เงินจากธนาคารนั้นนางวิลัยคงเบิกความถึงแต่เฉพาะนายณรงค์และนายบรรเทิงจำเลยในคดีอาญาเท่านั้น รวมทั้งพยานโจทก์ปากอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นนายสมนึก รัตนวิจิตรนางมานพ สุภาพ หรือนายรุ่งโรจน์ ตรงชื่น มิได้เบิกความพาดพิงถึงจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 แต่ประการใด ฝ่ายจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 นำสืบว่า นาวาตรีสถาพร อยู่สุขซึ่งเป็นนายหน้าของจำเลยที่ 1 มาติดต่อขายฝากที่ดิน จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3603 ให้จำเลยที่ 2 ในราคา 1,500,000 บาท จำเลยที่ 2ได้ชำระเป็นเงินสดจำนวน 140,000 บาท และแคชเชียร์เช็คของธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาพัทยา และของธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาสัตหีบตามเอกสารหมาย ล.3 และ ล.6 ตามลำดับ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 3605จำเลยที่ 1 ขายฝากให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ในราคา 700,000 บาท จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ชำระเป็นเงินสดและแคชเชียร์เช็ค ตามสำเนาเช็คและสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เลขที่ 302-2-06608-2 ของจ่าเอกปราโมทย์พรายนรินทร์ เอกสารหมาย ล.4 ล.11 และ ล.12 เมื่อโจทก์มิได้สืบให้เห็นถึงความไม่สุจริตของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทั้งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เบิกความยืนยันความสุจริตของตน จึงต้องฟังว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กระทำการโดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3603 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3605 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าโจทก์ไม่อาจขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 3603 และ 3605มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน