คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8844/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพราะมารดายกให้และจำเลยครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา จึงไม่มีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะที่ดินเป็นของผู้อื่น เมื่อจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและจำเลยครอบครองเองจึงไม่เป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่วันเวลาที่ถูกแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง หรือไม่ ดังที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ซึ่งเป็นการมิชอบ ทั้งปัญหานี้มิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยแต่ว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเอาคืนการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง โดยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 45 หมู่ 6 ตำบลสัมพันธ์ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี จำเลยซึ่งเป็นพี่สาวโจทก์ได้ขอปลูกบ้านอาศัยบนที่ดินพิพาท เมื่อปี 2539 โจทก์ขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน จำเลยคัดค้านการขอออกโฉนด โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ทำให้โจทก์ไม่สามารถขอออกโฉนดสำหรับที่ดินพิพาทได้ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างปรับที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม และขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไป กับห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทให้จำเลยไปยื่นคำขอยกเลิกการคัดค้านการออกโฉนดที่ดินพิพาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 45 หมู่ที่ 6 ตำบลสัมพันธ์ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ภายในกรอบเส้นสีเขียวตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.9 เป็นของโจทก์ให้จำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัย มีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกมาตรา 1375 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ในปี 2539 โจทก์ขอรังวัดที่ดินพาทเพื่อออกโฉนดที่ดินแต่ไม่สามารถออกโฉนดได้ เพราะจำเลยคัดค้านโดยอ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลย โจทก์จึงขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยไปขอยกเลิกการคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าเดิมนางนกแก้วมารดาจำเลยได้ยกที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ให้จำเลยครอบครองทำประโยชน์ปลูกสร้างคอกวัวและปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัยตลอดมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว โดยไม่เคยขออนุญาตจากโจทก์ โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง จนกระทั่งปี 2539 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานมารังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน โดยนำชี้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่จำเลยครอบครอง จำเลยได้คัดค้าน โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ล่วงเลยเวลากว่า 1 ปีแล้ว โจทก์จึงเสียสิทธิในการฟ้องคดี ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพราะมารดายกให้และจำเลยครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา จึงไม่มีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะที่ดินเป็นของผู้อื่น เมื่อจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยครอบครองเองจึงไม่เป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง หรือไม่ ดังที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นนี้ไว้ เพราะจะขัดแย้งกับประเด็นที่จำเลยให้การไว้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยได้รับการยกให้จากมารดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเดิม การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทนี้ไว้จึงเป็นการมิชอบ ทั้งปัญหานี้มิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง โดยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น แต่ที่โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาตามคำขอท้ายคำฟ้องโจทก์ทุกประการ ซึ่งในคำขอท้ายคำฟ้องโจทก์ข้อ 3 โจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์นั้น เห็นว่า แม้โจทก์บรรยายเรื่องค่าเสียหายมาในคำฟ้องแล้ว แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้และโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านย่อมถือว่าโจทก์ได้สละประเด็นดังกล่าวแล้ว ศาลไม่อาจพิพากษาให้ได้”
พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารขนย้ายรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินออกจากที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 45 หมู่ที่ 6 ตำบลสัมพันธ์ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ตามที่ดินในกรอบสีเขียวของแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.9 และปรับที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทต่อไป ให้จำเลยไปยื่นคำขอยกเลิกการคัดค้านขอออกโฉนดที่ดินพิพาทของโจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นให้ยก

Share