แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่ออาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายอยู่แล้ว การที่จำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีและพาติดตัว ความผิดจึงอยู่ที่การไม่ได้รับใบอนุญาต หาทำให้ซองกระสุนปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนผิดกฎหมายไม่ กรณีจึงไม่ใช่เป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงต้องริบและไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 32, 33
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91, 371 ริบอาวุธปืน กระสุนปืนและซองกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชาบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน ริบอาวุธปืน กระสุนปืน และซองกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ แต่ตามสำเนาคำสั่งคดีร้องขอคืนอาวุธปืนของกลางของศาลชั้นต้นที่จำเลยแนบมาท้ายฎีกาและโจทก์รับสำเนาฎีกาแล้วไม่ทำแก้ฎีกาฟังได้ว่าอาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนมีเลขหมายทะเบียน กท. 39139148 เลขหมายประจำปืน 02777-96 ตรงกับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนของสิบตำรวจตรีสัมฤทธิ์ จึงถือว่าอาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับในอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง อันเป็นบทลงโทษสำหรับกรณีที่เป็นอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนที่ผู้อื่นได้รับใบอนุญาต อันเป็นผลร้ายแก่จำเลย จึงเป็นการไม่ชอบ ต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 72 วรรคสาม ซึ่งเป็นเพียงการมีอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย และมีบทกำหนดโทษเบากว่า แม้จำเลยให้การรับสารภาพและศาลสามารถพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานประกอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ก็ฟังข้อเท็จจริงได้เพียงว่าจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนโดยไม่ได้ความว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนที่ผู้อื่นได้รับใบอนุญาต เมื่อคดีมีเหตุที่จำเลยรับโทษน้อยลง และข้อแตกต่างดังกล่าวก็มิใช่ข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ เพราะองค์ประกอบความผิดนี้อยู่ที่ว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่หรือไม่ ซึ่งจำเลยรับแล้วว่ามีโดยมิได้รับใบอนุญาตจริง ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองและลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185, 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 นอกจากนี้เมื่อเป็นอาวุธปืนที่มีเลขหมายทะเบียนอยู่แล้ว แต่จำเลยพาติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีและพาติดตัว ความผิดจึงอยู่ที่การไม่ได้รับใบอนุญาต หาทำให้ซองกระสุนปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนผิดกฎหมายไม่ กรณีจึงไม่ใช่เป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงต้องริบ และไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 ประกอบกับศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของในคดีดังกล่าวไปแล้ว จึงต้องยกคำขอของโจทก์ที่ให้ริบอาวุธปืนของกลางด้วย มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาวุธปืนที่จำเลยมีและพาไป เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นผลร้ายน้อยกว่า การใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษก็ควรจะเปลี่ยนไปในทางที่ลดลงและตามพฤติการณ์ไม่ปรากฏว่าจำเลยจะใช้อาวุธปืนนั้นก่ออาชญากรรมใด หลังถูกจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพมาโดยตลอด อันแสดงว่าจำเลยยังรู้สำนึกในความผิดแห่งตน พฤติการณ์แห่งคดียังไม่ร้ายแรงนัก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติจำเลยไว้เพื่อให้มีเจ้าพนักงานคอยแนะนำช่วยเหลือ ตักเตือน หรือสอดส่องดูแล ซึ่งน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมมากกว่า ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน แต่เพื่อป้องปรามมิให้จำเลยกระทำความผิดทำนองนี้อีกเห็นสมควรลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง สำหรับความผิดฐานนี้ปรับ 6,000 บาท และความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับ 4,000 บาท รวมปรับ 10,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยไว้นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 4 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควร มีกำหนด 12 ชั่วโมง ไม่ริบเครื่องกระสุนปืนที่เหลือจากการทดลองยิงและซองกระสุนปืนของกลาง แต่ให้คืนแก่เจ้าของ ยกคำขอของโจทก์ที่ให้ริบอาวุธปืนของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3