แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์จำเลยครอบครองมาด้วยความสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีจึงได้กรรมสิทธิ์ให้ยกฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยที่ 1 รื้อคันนาจากหลักไม้หมายเลข 2 ถึงหลักไม้หมายเลข 3. ในแผนที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ถึง 8 รื้อรั้วที่ทำไว้ในที่ดินของโจทก์ออกไปด้วย ดังนี้ เป็นแก้ไขมาก
จำเลยให้การว่า เดิมที่นาพิพาทจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จำเลยได้ครอบครองมีเขตอันเป็นส่วนสัดมาโดยสงบและเปิดเผยติดต่อมาทุกปีเป็นเวลา 30 ปีเศษทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยครอบครอง ถือว่าเป็นการต่อสู้ว่าครอบครองทรัพย์ของโจทก์โดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว
การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382 ผู้ครอบครองจะรู้ว่าทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็นของผู้อื่นหรือไม่ ไม่สำคัญย่อมได้กรรมสิทธิ์เสมอ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 7591 จำเลยที่ 1ตั้งคันนารุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 3 ถึง 8 บุกรุกเข้ามาตัดฟันไม้ไผ่และโค่นไม้ของโจทก์ จำเลยที่ 1, 2 นำจำเลยที่ 10 ไปรังวัดที่ดินมิได้แจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ข้างเคียงไประวังแนวเขต จำเลยที่ 1, 2, 4, 5, 9 และ 10 ได้นำหลักหินมาปักบนคันนาของโจทก์ ขอให้จำเลยรื้อถอนออกไปและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1, 2 ให้การว่า เนื้อที่ดินที่โจทก์หาว่าจำเลยทำรั้วรุกล้ำเป็นของจำเลยที่ 1, 2 จำเลยที่ 1, 2 ครอบครองมาโดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันมาเป็นเวลา 30 ปีเศษ จำเลยที่ 3- 8 ว่าไม่ได้ตัดฟันเป็นจำนวนที่โจทก์ฟ้อง และเป็นไม้ที่อยู่ในที่ดินจำเลยที่ 1, 2 ส่วนจำเลยที่ 9, 10 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1, 2 ครอบครองที่พิพาทด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี แม้จะฟังว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ จำเลยที่ 1, 2 ก็ได้กรรมสิทธิ์คดีโจทก์ขาดอายุความและจำเลยที่ 9, 10 ปักหลักเขตในแนวเขตของจำเลยที่ 1, 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เขตที่ดินของโจทก์ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือจดหลักไม้ ล.ม.4 ในแผนที่พิพาท และมีเขตเป็นเส้นตรงลงมาทางทิศใต้ จดหลักไม้หมายเลข 2 และจำเลยต่อสู้เพียงว่าจำเลยครอบครองที่ดินของจำเลยมา 30 ปี หาได้อ้างว่าครอบครองที่ดินของผู้อื่นไม่ คดีจึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัย คดีของโจทก์ขาดอายุความ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยที่ 1 รื้อคันนาจากหลักไม้หมายเลข 2 ถึงหลักไม้หมายเลข 3 ในแผนที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ถึง 8 รื้อรั้วที่ทำไว้ในที่ดินของโจทก์ นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ถึง 8 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขมาก ฎีกาจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
จำเลยที่ 1 ถึง 8 ฎีกาว่า คดีมีประเด็นที่ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา 3 ประการคือ
1. ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลยที่ 1, 2
2. ที่ดินพิพาทโจทก์หรือจำเลย (ที่ 1, 2) เป็นผู้ครอบครองมา
3. ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นข้อครอบครองที่จำเลย
(ที่ 1, 2) ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้นั้น เป็นการชอบด้วยวิธีพิจารณาหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นควรยกประเด็นข้อที่ 2, 3 ขึ้นวินิจฉัยก่อน เห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องและคำให้การปรากฏชัดว่า ที่ดินของโจทก์กับของจำเลยที่ 1, 2 มิโฉนดด้วยกัน และมีเขตติดต่อกันเฉพาะที่พิพาทก็อยู่ตรงเขตติดต่อกัน ที่จำเลยที่ 1, 2 ให้การว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดจำเลย จำเลยได้ครอบครองมามีเขตคันเป็นส่วนสัดครอบครองมาโดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันมาเป็นเวลา 30 ปีเศษนั้น จำเลยที่ 1, 2 อาจเข้าใจโดยสุจริตว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยและอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยก็ได้ จึงได้ให้การต่อสู้ไปตามนั้นถ้าที่พิพาทเป็นไปตามจำเลยเข้าใจก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ ปัญหาจึงเกิดตามขึ้นมาว่าคำให้การของจำเลยที่ 1, 2 ดังกล่าวมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าถ้าแต่เดิมที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่พิพาทก็ไม่ใช่ของจำเลย และถ้าจำเลยที่ 1, 2 ครอบครองที่พิพาท ก็ได้ชื่อว่าจำเลยที่ 1, 2 ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น(โจทก์) เป็นการตรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382อยู่ในตัว การครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138เป็นวิธีการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นวิธีหนึ่งผู้ครอบครองจะรู้ว่าทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็นของผู้อื่นหรือไม่ไม่สำคัญ ย่อมได้กรรมสิทธิ์เสมอไป เว้นแต่จะมีบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น เฉพาะกรณีนี้ไม่ได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบัญญัติไว้ว่าจำเลยที่ 1, 2 จะครอบครองที่พิพาทซึ่งอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของไม่ได้ฉะนั้น ที่จำเลยที่ 1, 2 ให้การดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 1, 2 ได้ยกข้อเท็จจริงเรื่องการครอบครองและยกอายุความการได้สิทธิจนได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทขึ้นต่อสู้โจทก์แล้ว คดีจึงมีประเด็นว่า จำเลยที่ 1, 2 ได้ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์จริงหรือไม่ ซึ่งจำต้องวินิจฉัยต่อไป ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ควรจะได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะที่ได้พิพากษาในประเด็นข้อ 3-2 เสีย แล้วคืนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาประเด็นข้อ 2 ตามรูปคดีต่อไปใหม่