คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2481

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สมัครใจวิวาททำร้ายฟ้องกันแลกัน ฝ่ายใดจะถือว่าตนเป็นผู้เสียหายฟ้องหากฝ่ายหนึ่งมิได้คดีอาญา 2 เรื่องมูลกรณีเดียวกัน แต่โจทก์ต่างคนกันแม้จะได้พิจารณารวมกันมาก็แต่เมื่อศาลได้แยกวินิจฉัยต่างหากจากกันแล้วดังนี้จะถือว่าข้อเท็จจริงที่ฟังได้ในคดีเรื่องหนึ่งมาตัดสินสำหรับคดีอีกเรื่องหนึ่งหาได้ไม่

ย่อยาว

อัยยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง ๖ คนฐานวิวาททำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสและนายชื่นจำเลยในสำนวนอัยยการได้เป็นโจทก์ฟ้องนายไข่ นายจุก นายสวัสดิ์ นายพันเป็นจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตนบาดเจ็บสาหัส
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีในสำนวนอัยยการเป็นโจทก์อ้างว่าพะยานหลักฐานไม่เพียงพอ ส่วนสำนวนที่นายชื่นเป็นโจทก์นั้นลงโทษนายไข่จำเลยผู้เดียวตาม ม.๒๕๔ จำคุก ๑ ปี
อัยยการโจทก์นายชื่นในฐานะเป็นโจทก์และนายไข่จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่าในคดีที่อัยยการเป็นโจทก์หลักฐานไม่พอพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ในคดีที่นายชื่นเป็นโจทก์นั้นฟังได้ว่านายชื่นกับนายไข่ได้สมัครใจเข้าวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน นายชื่นจะถือตนว่าเป็นผู้เสียหายตาม ม.๒๘(๒) แห่งประมวลวิธีพิจารณาอาญาไม่ได้ จึงพิพากษาให้ยกฟ้องนายชื่นโจทก์เสีย
อัยยการโจทก์ฎีกาว่าควรลงโทษนายไข่นายชื่นตามฟ้องอัยยการ เพราะศาลอุทธรณ์เชื่อว่า นายชื่น นายไข่วิวาทต่อสู้กันส่วนนายชื่นโจทก์ฎีกาว่านายไข่จำเลยมีความผิด
ศาลฎีกาตัดสินว่าสำนวนอัยยการเป็นโจทก์นั้น ศาลล่างทั้ง ๒ พิพากษาต้องกันมาว่าจำเลยทั้ง ๖ ไม่มีความผิด โจทก์จะฎีกาได้แต่ฉะเพาะข้อกฎหมาย มาตรา ๑๘๕ แห่งประมวลวิธีพิจารณาอาญาที่อัยยการโจทก์อ้างมานั้นหมายความเพียงว่า เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดและไม่มีการยกเว้นโทษตามกฎหมายก็ให้ศาลลงโทษจำเลยตามนั้น แต่คดีนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะฟังว่านายชื่นนายไข่วิวาททำร้ายกันก็ดีก็เป็นข้อเท็จจริงในคดีที่นายชื่นเป็นโจทก์ซึ่งเป็นคนละสำนวน แม้จะได้พิจารณารวมกัน แต่ศาลอุทธรณ์ก็ได้แยกวินิจฉัยเด็ดขาดไปแล้ว ฎีกาของอัยยการโจทก์นั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของนายชื่นคงเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่า นายชื่น นายไข่สมัครวิวาททำร้ายซึ่งกันแลกัน นายชื่นไม่มีอำนาจฟ้องนายไข่ เพราะตนไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ทุกประการ

Share