คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 880/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กับจำเลยที่ 1 โดยฝากสมุดเงินฝากไว้กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหลานและเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินแล้วนำมาถอนเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าว 21 ครั้ง การที่พนักงานของจำเลยที่ 1 จ่ายเงินให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างทำงานอยู่ด้วยกันโดยมิได้ใส่ใจให้ความสำคัญแก่ลายมือชื่อผู้ถอนเงินว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินไม่เหมือนกับลายมือชื่อโจทก์ในตัวอย่างลายมือชื่อที่ให้ไว้โดยชัดแจ้ง และในกรณีที่ใบถอนเงินลงชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินเองแต่ไม่มีตัวโจทก์มา พนักงานของจำเลยที่ 1 ก็ยังจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแทน พฤติการณ์ชี้ชัดว่าพนักงานของจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 2 หากพนักงานของจำเลยที่ 1 ใช้ความละเอียดรอบคอบและความระมัดระวังเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพธนาคารแล้วก็ย่อมจะทราบได้ว่าลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินเป็นลายมือชื่อปลอม ส่วนที่โจทก์ฝากสมุดเงินฝากไว้กับจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์ทำไปโดยสุจริตเพราะเชื่อใจจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหลาน การที่จำเลยที่ 2 ถอนเงินฝากจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ไปได้จึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของพนักงานของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผลโดยตรงจากการที่โจทก์ฝากสมุดเงินฝากไว้กับจำเลยที่ 2 การกระทำของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เต็มจำนวน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๔๘๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่ามิได้ประมาทเลินเล่อ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน ๔๘๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี จากต้นเงินจำนวน ๔๗๖,๙๐๐.๙๙ บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ ชำระเงินแก่โจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ รับผิดจำนวน ๒๔๑,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๓๘,๔๕๐.๔๙ บาท นับแต่วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๑ เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กับจำเลยที่ ๑ สาขาสี่แยกสนามจันทร์ ซึ่งมีจำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างชั่วคราวทำหน้าที่รักษาความสะอาดและบริการลูกค้า โดยโจทก์ฝากสมุดเงินฝากไว้กับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหลานโจทก์และเป็นผู้ติดต่อจัดการให้โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยปลอมลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินแล้วนำมาถอนเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของโจทก์จากจำเลยที่ ๑ สาขาสี่แยกสนามจันทร์ ๒๑ ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน ๔๘๒,๕๐๐ บาท คดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาเฉพาะจำเลยที่ ๑ ตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ต้องร่วมกับจำเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์เพียงกึ่งหนึ่งหรือเต็มจำนวนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่า ลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินไม่เหมือนกับลายมือชื่อโจทก์ในตัวอย่างลายมือชื่อในสมุดเงินฝากและคำขอเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์โดยชัดแจ้ง เพียงแต่คล้ายกันเท่านั้น ซึ่งโดยปกติถ้าเป็นลูกค้าทั่วไป พนักงานของจำเลยที่ ๑ ก็จะไม่จ่ายเงินให้หากลายมือชื่อไม่เหมือนกัน แต่ที่จ่ายให้เพราะจำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างทำงานอยู่ในสำนักงานของจำเลยที่ ๑ สาขาสนามจันทร์ด้วยกัน จึงเชื่อใจอนุโลมและยืดหยุ่นจ่ายให้ไป โดยมิได้ใส่ใจให้ความสำคัญแก่ลายมือชื่อผู้ถอนเงินว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ใบถอนเงินลงชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินเองแต่ไม่มีตัวโจทก์มา พนักงานของโจทก์ก็ยังจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ ๒ ไปแทน พฤติการณ์ชี้ชัดว่าพนักงานของจำเลยที่ ๑ ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ ๒ หากพนักงานของจำเลยที่ ๑ ใช้ความละเอียดรอบคอบและความระมัดระวังเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพธนาคารแล้ว ก็ย่อมจะทราบได้ว่าลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินเป็นลายมือชื่อปลอม และจำเลยที่ ๒ ก็จะไม่สามารถถอนเงินฝากจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ไปได้ ส่วนที่โจทก์ฝากสมุดเงินฝากไว้กับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นได้ว่าโจทก์ทำไปโดยสุจริตเพราะเชื่อใจจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหลานของโจทก์และเป็นผู้จัดการให้โจทก์ฝากเงินกับจำเลยที่ ๑ สาขาสี่แยกสนามจันทร์ ประกอบกับโจทก์เชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ไม่สามารถถอนเงินฝากได้ คงมีแต่โจทก์แต่เพียงผู้เดียวที่มีอำนาจถอนเงินฝากได้ แม้ในปกหน้าด้านในจะมีข้อความให้ผู้ฝากเงินเป็นผู้เก็บรักษาสมุดเงินฝากเองก็ตาม ก็เป็นเพียงคำแนะนำมิใช่ข้อตกลงในการฝากเงิน ทั้งโจทก์เองก็ไม่ได้รับสมุดเงินฝากและไม่เห็นคำแนะนำหรือคำเตือนดังกล่าว เนื่องจากจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับและเก็บรักษาสมุดเงินฝากไว้แทนตั้งแต่แรก ส่วนในคำขอเปิดบัญชีเงินฝากนั้นก็ไม่ได้มีเงื่อนไขโดยชัดแจ้งว่าผู้ฝากหรือโจทก์จะต้องเก็บรักษาสมุดเงินฝากไว้เอง คงมีแต่คำแนะนำว่าควรเก็บไว้ในที่ปลอดภัยเท่านั้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ถอนเงินฝากจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ไปได้ จึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของพนักงานของจำเลยที่ ๑ มิได้เป็นผลโดยตรงจากการที่โจทก์ฝากสมุดเงินฝากไว้กับจำเลยที่ ๒ การกระทำของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ด้วย จำเลยที่ ๑ จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์เต็มจำนวนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ วินิจฉัยให้จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์เพียงกึ่งหนึ่งนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้มีทุนทรัพย์ชั้นฎีกาเพียง ๒๔๑,๒๕๐ บาท มิใช่ ๕๗๑,๔๔๔.๗๖ บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ๖,๐๓๒.๕๐ บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมา ๘,๒๕๒.๕๐ บาท เห็นสมควรคืนเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมาแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมาจำนวน ๘,๒๕๒.๕๐ บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.

Share