คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โรงเรียน ศ. ไม่มีรั้วล้อมรอบ ชาวบ้านกับโจทก์เดินผ่านสนามของโรงเรียนมานานถึง 40 ปีเศษ หากมีนักเรียนใช้สนามอยู่ก็จะเดินไปตามขอบสนามโดยไม่มีการทำไว้เป็นทางเดิน แต่การที่โจทก์และชาวบ้านเดินผ่านสนามได้เพราะเจ้าของโรงเรียนอนุญาตให้เดิน โจทก์จึงมิได้เดินอย่างปรปักษ์ ดังนั้น แม้โจทก์จะเดินผ่านทางดังกล่าวมานานถึง 40 ปีเศษ ก็ไม่ได้ภารจำยอม กรณีไม่อาจนับอายุความการเดินผ่านสนามไปต่อกับทางอื่นซึ่งโจทก์ใช้มาไม่ถึง 10 ปีได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4824 เนื้อที่ 35 ตารางวา และโจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 11226 เนื้อที่35 ตารางวา ซึ่งที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ที่ตำบลวัดอรุณ (บางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ)อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ส่วนจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2248 ตำบลบางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่2 งาน 52 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 3103 ตำบลสะพานเจริญพาศน์ (บางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ) อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 91 ตารางวา ประมาณปี 2480 ที่ดินของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นและเปิดเป็นสถานศึกษาชื่อโรงเรียนศิริศึกษา โจทก์ทั้งสอง บริวารและชาวบ้านในละแวกนั้นได้ใช้ทางเดินเข้าออกผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองออกสู่ถนนอิสรภาพ ต่อมาประมาณปี 2526 โรงเรียนศิริศึกษาได้ปิดกิจการลง และที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวได้ถูกโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองโดยทางมรดกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2526 โจทก์ทั้งสองและบริวารตลอดจนชาวบ้านยังคงใช้เส้นทางดังกล่าวเดินเข้าออกสู่ถนนอิสรภาพ ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านแต่อย่างใด จนถึงประมาณปี 2529 จำเลยทั้งสองก่อสร้างกำแพงรั้วอิฐบล็อกกั้นตลอดแนวทิศเหนือจรดทิศใต้ระหว่างที่ดินของจำเลยทั้งสองกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ทำให้เข้าออกเส้นทางเดิมไม่ได้ จำเลยทั้งสองจึงได้เปิดทางเดินให้ใหม่เป็นช่องทางกว้างประมาณ 5 เมตร ยาวประมาณ 60 เมตร และทำประตูเหล็กปิดเปิดเข้าออกได้ โจทก์ทั้งสอง บริวารและชาวบ้านได้ใช้ทางเดินที่จำเลยทั้งสองเปิดให้เดินนี้เรื่อยมาประมาณ 8 ปี จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2538 จำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นทางเดินดังกล่าว โดยรื้อประตูเหล็กออกแล้วก่อกำแพงอิฐบล็อกปิดกั้นทางเดินทำให้โจทก์ทั้งสอง บริวารและชาวบ้านที่เคยใช้ทางเดินพิพาทออกสู่ถนนอิสรภาพได้รับความเดือดร้อน โจทก์ทั้งสองได้ใช้เส้นทางพิพาทดังกล่าวเดินเข้าออกเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี จึงได้ภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1392 ขอให้พิพากษาว่า ทางเดินพิพาทกว้าง 5 เมตรยาว 60 เมตร เป็นทางภารจำยอมให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนกำแพงอิฐบล็อกที่ปิดกั้นทางเดินออก หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉยให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้รื้อถอนเอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 2248 และโฉนดเลขที่ 3103 ตำบลบางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครของจำเลยทั้งสองให้แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ตามแผนผังเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 5

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเส้นทางสีฟ้าตามแผนผังเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 5 ที่โจทก์อ้างว่าได้ผ่านเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่2248 ตำบลบางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร หลังปี 2529เป็นความเท็จ เนื่องจากจำเลยทั้งสองให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวทำเป็นอู่ซ่อมรถยนต์ตั้งแต่ปี 2528 และทำกำแพงกั้นมิให้คนเดินเข้าออกมานานกว่า 10 ปี ไม่เคยเปิดให้โจทก์หรือใครผ่านเข้าออกได้เลย ส่วนเส้นทางสีชมพูตามเอกสารดังกล่าวโจทก์ทั้งสองและบริวารใช้มาประมาณ 8 ปี โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขและเวลาที่จำเลยทั้งสองกำหนดมิใช่ให้เดินโดยอิสระ ทั้งความกว้างที่โจทก์ทั้งสองผ่านก็มีเพียงแค่ครึ่งเมตรเท่านั้นเส้นทางสีชมพูจึงยังไม่ตกอยู่ภายใต้ภารจำยอม ไม่เคยมีข้อตกลงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงจากเส้นทางสีฟ้ามาเป็นเส้นทางสีชมพู สำหรับเส้นทางสีชมพูอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่3103 ซึ่งจำเลยทั้งสองให้บุคคลอื่นเช่าทำเป็นทางออกของอู่ซ่อมรถยนต์ มีประตูเหล็กเปิดปิดเพื่อกั้นมิให้บุคคลภายนอกเดินผ่านเข้ามาในที่ดินของจำเลยทั้งสอง สำหรับโรงเรียนศิริศึกษาที่โจทก์อ้างนั้นมีทางเข้าออกทางด้านซอยอิสรภาพ 36 มิได้ผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 4824 เนื้อที่ 35 ตารางวา และโจทก์ที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 11226 เนื้อที่ 35 ตารางวา ที่ดินทั้งสองแปลงมีเนื้อที่ติดต่อกัน โดยทางด้านทิศใต้ของที่ดินทั้งสองแปลงติดต่อกับที่ดินของจำเลยทั้งสองซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน 2 แปลงติดต่อเป็นผืนเดียวกัน คือที่ดินโฉนดเลขที่ 2248 เนื้อที่ 2 งาน 52ตารางวา ไม่ติดถนนอิสรภาพ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 3103 เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 91 ตารางวาติดถนนอิสรภาพ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 ว่าเส้นทางพิพาทสีชมพูของที่ดินจำเลยทั้งสองตามแผนผังเอกสารหมาย จ.4 ตกเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 หรือไม่ คดีนี้โจทก์ที่ 1 ฟ้องและนำสืบว่า ประมาณปี 2480 ที่ดินของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นและเปิดเป็นสถานศึกษาชื่อโรงเรียนศิริศึกษา โจทก์ทั้งสอง บริวารและชาวบ้านในละแวกนั้นได้ใช้ทางเดินเส้นทางสีฟ้าตามแผนผังเอกสารหมาย จ.4 เข้าออกผ่านที่ดินดังกล่าวสู่ถนนอิสรภาพ ต่อมาประมาณปี2526 โรงเรียนศิริศึกษาได้ปิดกิจการลงและที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวได้ถูกโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยทั้งสองทางมรดกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2526 โจทก์ทั้งสอง บริวารและชาวบ้านยังคงใช้เส้นทางดังกล่าวเดินเข้าออกสู่ถนนอิสรภาพ ประมาณปี 2528 ถึง 2529 จำเลยทั้งสองได้ก่อสร้างอู่ซ่อมรถยนต์และก่อสร้างกำแพงกั้นตามแนวที่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถใช้เส้นทางเดิมได้แต่จำเลยทั้งสองได้เปิดเส้นทางสีชมพูตามแผนผังเอกสารหมาย จ.4 ให้เดินแทน โจทก์ทั้งสองใช้เส้นทางสีชมพูเดินออกสู่ถนนอิสรภาพมานาน 8 ถึง 9 ปี จำเลยทั้งสองจึงก่อกำแพงปิดกั้นเส้นทางดังกล่าว มีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า โจทก์ที่ 1 เดินผ่านที่ดินที่ตั้งโรงเรียนศิริศึกษามาตั้งแต่ปี 2480 โจทก์ได้ภารจำยอมในทางเดินโดยอายุความหรือไม่พยานโจทก์มีโจทก์ที่ 1 เบิกความว่า โรงเรียนศิริศึกษาไม่มีรั้วล้อมรอบ นางโฉม ชวนพิศภริยาโจทก์ที่ 1 เบิกความว่า พยานใช้ทางเดินโดยเดินเลียบสนามของโรงเรียนศิริศึกษาไปยังบ้านของโจทก์ทั้งสอง นางศรีสกุล วงศ์ขจรสุข ภริยาโจทก์ที่ 2 เบิกความว่า พยานเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2514 จนถึงปัจจุบัน พยานกับพวกใช้ทางเดินผ่านสนามของโรงเรียนศิริศึกษาเพื่อไปออกถนนอิสรภาพ สนามของโรงเรียนไม่ได้มีการทำไว้เป็นทางสำหรับเดิน หากมีนักเรียนใช้พื้นที่ของสนามพยานก็จะเดินเลี่ยงไปตามรอบขอบสนามพันตำรวจโทพิบูลย์ศิริ สาครสินธุ์ เบิกความว่า บิดามารดาพยานแต่เดิมเป็นเจ้าของโรงเรียนศิริศึกษา พยานเคยเห็นชาวบ้านละแวกใกล้เคียงที่ดินพิพาทเดินผ่านโรงเรียนทางสนามฟุตบอลออกสู่ถนนอิสรภาพ บริเวณโรงเรียนไม่มีรั้ว บิดามารดาพยานอนุญาตให้ชาวบ้านละแวกนั้นเดินผ่าน พยานเห็นโจทก์เดินผ่านที่ดินพิพาทมา 40 ปีเศษแล้วชาวบ้านละแวกนั้นเดินผ่านที่ดินพิพาทโดยวิสาสะ เห็นว่า การที่โรงเรียนศิริศึกษาไม่มีรั้วชาวบ้านและโจทก์เดินผ่านสนามของโรงเรียน หากมีนักเรียนใช้สนามอยู่ก็จะเดินไปตามขอบสนามโดยไม่ได้มีการกระทำไว้เป็นทางสำหรับเดิน กับการที่เจ้าของโรงเรียนอนุญาตให้เดินเช่นนี้ โจทก์ที่ 1 มิได้เดินอย่างปรปักษ์จึงไม่ได้ภารจำยอม ไม่อาจนับอายุความการเดินไปต่อกับทางพิพาทสีชมพู ตามแผนผังเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งโจทก์ที่ 1 ใช้ทางพิพาทสีชมพูไม่ถึง 10 ปี ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ทางพิพาทไม่ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์ที่ 1 ต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง”

พิพากษายืน

Share