คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 880/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แม้จำเลยฎีกาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อข้ออ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทตามสัญญาเช่าหรือไม่ซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ถือสิทธิการเช่าที่ดินประมาณ 111 ตารางวาของวัดเกาะ ซึ่งอยู่ที่แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครจำเลยและบริวารขออาศัยอยู่ในที่เช่าของโจทก์ดังกล่าว โจทก์ประสงค์จะใช้ที่ดินจึงแจ้งให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 25/2 หมู่ 11 ซึ่งจำเลยแจ้งการเป็นเจ้าบ้านออกไป จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 25/2 หมู่ที่ 11 ออกไปจากที่เช่าของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันที่ 12 เมษายน 2529 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 10,000 บาท และนับต่อจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่เช่าของโจทก์ จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในฐานะผู้เช่าจากวัดท่าพระเพราะวัดท่าพระและกรมการศาสนาได้แจ้งระงับการต่อสัญญาเช่าให้แก่โจทก์ แล้วได้ตกลงให้จำเลยเช่าที่ดินจากวัดท่าพระโดยตรงโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่เช่าของโจทก์ตามฟ้องโดยให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 25/2 หมู่ที่ 11 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญกรุงเทพมหานคร ออกไปจากที่เช่าดังกล่าว และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่ 13 เมษายน 2529จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่เช่าของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ซึ่งขณะยื่นฟ้องมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่พิพาทซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จำเลยฎีกาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ข้ออ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายการเถียงข้อเท็จจริงว่ากรมการศาสนาเจ้าของที่ดินมิได้ต่อสัญญาเช่าแก่โจทก์ การอยู่ในที่เช่าของโจทก์จึงอยู่อย่างละเมิด ซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย

Share