คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 123/2550 ของศาลชั้นต้นยังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่หลังจากวันที่ 8 มีนาคม 2549 ที่โจทก์มอบอำนาจให้ ก. หรืออย่างเร็วที่สุดวันที่ 8 มีนาคม 2549 อันเป็นเวลาที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้รู้ถึงต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมและทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ตาม แต่การที่อายุความสะดุดหยุดลงดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) ซึ่งมาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเพราะเหตุตามมาตรา 193/14 (2) หากคดีนั้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง หรือคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้องหรือทิ้งฟ้อง ให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง” เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 123/2550 โจทก์ได้ถอนฟ้องและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1058/2550 กรณีจึงต้องถือว่าการที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 123/2550 หมายเลขแดงที่ 1058/2550 ไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแต่อย่างใด เนื่องจากคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้อง การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนนิติกรรมอีกเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน2554 จึงพ้นหนึ่งปี นับแต่เวลาที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้รู้ถึงต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ตามมาตรา 240

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 1974 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1974 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลยที่ 2
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2542 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 คดีนี้เป็นจำเลยที่ 4 ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2841/2542 ของศาลแพ่งธนบุรี เรื่องผิดสัญญาซื้อขาย ในระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2544 จำเลยที่ 1 ได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาท โฉนดเลขที่ 1974 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างในราคา 800,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 18 ตุลาคม 2544 ศาลแพ่งธนบุรีมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 4 ในคดีที่โจทก์ฟ้องดังกล่าวซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ ร่วมกับพวกชำระเงินให้แก่โจทก์ 5,070,140.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ระหว่างการบังคับคดีตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2549 โจทก์มอบอำนาจให้นายเกษฎากร มีอำนาจฟ้องร้องคดีอาญาและคดีแพ่ง รวมทั้งให้มีอำนาจดำเนินการในทางจำหน่ายสิทธิ เช่นการยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความฯ รวมทั้งให้มีอำนาจแต่งตั้งทนายความ นายเกษฎากรในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาต่อศาลแขวงอุบลราชธานีเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2549 ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1105/2549 ในความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีศาลแพ่งธนบุรีได้รับชำระหนี้ แต่ได้ถอนฟ้องเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2549 ศาลแขวงอุบลราชธานีมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดี และได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2550 ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 123/2550 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง เนื่องจากเป็นการกระทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งธนบุรีเสียเปรียบและได้รับความเสียหาย แต่ได้ถอนฟ้องเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2550 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดี คำฟ้องของโจทก์ บรรยายฟ้องว่าโจทก์เพิ่งทราบการกระทำความผิดหรือการโอนที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2549 สำหรับคดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2554 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทเช่นเดียวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1058/2550 ของศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเมื่อยังไม่พ้นหนึ่งปีนับแต่วันเวลาที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรม ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 123/2550 ของศาลชั้นต้นยังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่หลังจากวันที่ 8 มีนาคม 2549 ที่โจทก์มอบอำนาจให้นายเกษฎากรหรืออย่างเร็วที่สุดวันที่ 8 มีนาคม 2549 อันเป็นเวลาที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้รู้ถึงต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมและทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ตาม แต่การที่อายุความสะดุดหยุดลงดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (2) ซึ่งมาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเพราะเหตุตามมาตรา 193/14 (2) หากคดีนั้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง หรือคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้องหรือทิ้งฟ้อง ให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง” เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้แล้วว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 123/2550 โจทก์ได้ถอนฟ้องและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1058/2550 กรณีจึงต้องถือว่าการที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 123/2550 หมายเลขแดงที่ 1058/2550 ไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแต่อย่างใด เนื่องจากคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้อง การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนนิติกรรมอีกเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2554 จึงพ้นหนึ่งปี นับแต่เวลาที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้รู้ถึงต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ตามมาตรา 240 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share