แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ประสงค์จะฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 กระทำการตามที่โจทก์ฟ้อง การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชี เป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่ทำให้โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระ แต่ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดไม่เกินกว่าเงินสดคงเหลือที่จำเลยที่ 1 มีอยู่ในวันจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี เป็นเงิน 1,927,770.08 บาท และเนื่องจากจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดจะชำระภาษีและเบี้ยปรับมาตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนเลิกบริษัท เมื่อเจ้าพนักงานส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มให้จำเลยที่ 1 ทราบโดยชอบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2554 โดยในหนังสือแจ้งการประเมินระบุให้นำเงินมาชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,927,770.08 บาท นับแต่วันพ้นกำหนดให้ชำระเงินภาษีตามหนังสือแจ้งการประเมินคือนับแต่วันที่ 10 กันยายน 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 10,350,911.96 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินภาษีที่ต้องเสียรวม 2,719,705.73 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงินไม่เกิน 1,927,770.08 บาท พร้อมดอกเบี้ย รวมเป็นเงิน 2,200,077.87 บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,927,770.08 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าหุ้นที่ยังคงค้างชำระ 749,850 บาท ไปชำระหนี้ค่าภาษีที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 10,350,911.96 บาท พร้อมด้วยเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน ของต้นเงินภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ละเดือนภาษีที่ต้องชำระ จำนวน 1,207.50 บาท 6,381.86 บาท 286.30 บาท 105 บาท 24,631.60 บาท 126,666.40 บาท 151,869.20 บาท 119,859.88 บาท 217,965.65 บาท 39,855.34 บาท 41,209 บาท 27,239.66 บาท 29,635.69 บาท 50,045.94 บาท 299,394.20 บาท 657,864.73 บาท 114,470.51 บาท 50,383.20 บาท 224,703.09 บาท 143,613.67 บาท 185,636.85 บาท 81,774.20 บาท 66,487.96 บาท 140 บาท และ 58,278.29 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 มกราคม 2556) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระต้นเงินภาษีมูลค่าเพิ่มเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ เงินเพิ่มดังกล่าวเมื่อรวมกับเงินเพิ่มเดิมที่คิดจากต้นเงินภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ละเดือนภาษีข้างต้น ต้องไม่เกินต้นเงินภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ละเดือนภาษีที่ต้องชำระ ให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในวงเงินไม่เกิน 1,927,770.08 บาท ให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระจำนวน 749,850 บาท ไปชำระหนี้ค่าภาษีที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ และเครื่องมือในการก่อสร้าง และเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท แบ่งออกเป็น 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีผู้ถือหุ้น 3 คน จำเลยที่ 2 ถือหุ้น 9,998 หุ้น และค้างชำระเงินค่าหุ้นอีกร้อยละ 75 ของมูลค่าหุ้นดังกล่าว คิดเป็นเงินค่าหุ้นค้างชำระ 749,850 บาท ตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เจ้าพนักงานโจทก์ได้รับแจ้งให้ทำการสอบยันใบกำกับภาษีซื้อของจำเลยที่ 1 จึงได้ทำการตรวจสอบปฏิบัติการเฉพาะประเด็น ณ สถานประกอบการของจำเลยที่ 1 และเรียกให้กรรมการของจำเลยที่ 1 ไปพบเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐานการตรวจสอบ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2553 จำเลยที่ 1 โดยนางนัฎภรณ์ ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 1 มาพบเจ้าพนักงานโจทก์และรับว่าไม่ได้นำยอดขายจากใบกำกับภาษีขาย มูลค่ารวม 622,720 บาท มารวมในการคำนวณยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่สามารถนำใบกำกับภาษีซื้อในปีภาษี 2552 ที่ได้รับจากบริษัท 9 เหรียญ ซิตี้ สตีล จำกัด จำนวน 14,340,345.50 บาท ใบกำกับภาษีซื้อจากบริษัทพี พี เอ็ม ซัพพลาย แอนด์ สตีล จำกัด จำนวน 11,154,350 บาท และใบกำกับภาษีซื้อทั้งหมดของปีภาษี 2553 จำนวน 11,436,878.50 บาท มาแสดงต่อเจ้าพนักงานได้ พร้อมยอมรับผิดจะชำระภาษีและเบี้ยปรับ หากไม่ชำระยอมให้เจ้าพนักงานของโจทก์ประเมินภาษีได้ตามที่กฎหมายกำหนด ตามคำให้การ หนังสือเชิญพบและหนังสือนำตัวแต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ยื่นปรับปรุงแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อชำระภาษีพร้อมเบี้ยปรับตามที่ได้ให้ถ้อยคำไว้ ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2554 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกบริษัท เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้ชำระบัญชีจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี โดยในการชำระบัญชีของจำเลยที่ 2 ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 มีเงินสดคงเหลือ 1,099,946.75 บาท และมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้แบ่งอีก จำนวน 827,823.33 บาท รวมเป็นเงิน 1,927,770.08 บาท จำเลยที่ 2 ได้แบ่งเงินที่เหลือและกำไรสะสมดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกคนตามสัดส่วนของการถือหุ้น โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้องตามกฎหมายและมีหน้าที่ต้องนำเงินที่เหลือและกำไรสะสมดังกล่าวไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์ก่อน เจ้าพนักงานของโจทก์จึงได้ขออนุมัติประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่มตามกฎหมายสำหรับเดือนภาษีสิงหาคมถึงเดือนภาษีธันวาคม 2551 เดือนภาษีมกราคมถึงเดือนภาษีธันวาคม 2552 และเดือนภาษีมกราคมถึงเดือนภาษีกันยายน 2553 เป็นเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม 219,705.73 บาท เบี้ยปรับ 6,122,523.58 บาท และเงินเพิ่มคำนวณถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2554 เป็นเงิน 815,171.74 บาท รวมเป็นเงิน 9,657,387 บาท และส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มให้จำเลยที่ 1 ทราบโดยชอบแล้วเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2554 ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73.1) เลขที่ ภ.พ.73.1-04120040-25540805-005-00104 ถึง 00129 ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2554 พร้อมใบแนบ และหลักฐานการปิดหมาย จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งการประเมินภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย การประเมินจึงเป็นที่สุด หลังจากจำเลยที่ 1 ได้รับแจ้งการประเมิน จำเลยที่ 1 มิได้ชำระค่าภาษีอากรตามการประเมินดังกล่าว จึงต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสียแต่ไม่เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสีย รวมค่าภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มซึ่งคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ 15 มกราคม 2556) เป็นเงิน 10,350,911.96 บาท ตามใบสรุปรายการภาษีอากรค้าง โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการชำระสะสางหนี้ของจำเลยที่ 1 จัดการเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งเงินลงหุ้นที่ยังคงค้างชำระพร้อมนำเงินสดและเงินกำไรสะสมดังกล่าวไปชำระหนี้ภาษีอากรแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียประโยชน์ โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จึงขอใช้สิทธิเรียกร้องในนามตนเองแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนและมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 2 นำส่งเงินลงหุ้นที่ยังคงค้างชำระ แต่จำเลยที่ 2 เพิกเฉย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 และจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องร่วมรับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีในวงเงินไม่เกิน 1,927,770.08 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,927,770.08 บาท นับแต่วันจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้องตามกฎหมายแต่กลับรีบจดทะเบียนเลิกบริษัทและรีบจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้วแบ่งเงินที่เหลือและกำไรสะสมให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกคนเฉลี่ยตามสัดส่วนของผู้ถือหุ้นโดยไม่นำเงินที่เหลือและกำไรสะสมดังกล่าวไปชำระหนี้ภาษีอากรค้างที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์ก่อน อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1269 ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 จงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระหนี้ภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงินเท่ากับจำนวนเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยที่ 1 ในวงเงินไม่เกินเงินสดที่เหลืออยู่รวมกับกำไรสะสมที่ยังไม่ได้แบ่งพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งตามข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โจทก์ประสงค์จะฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 2 กระทำการดังกล่าวตามที่โจทก์ฟ้อง การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 เป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในความเสียหายจากการกระทำของตนที่ทำให้โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระ แต่ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีจำเลยที่ 1 ซึ่งกระทำละเมิดต่อโจทก์ ต้องรับผิดไม่เกินกว่าเงินสดคงเหลือที่จำเลยที่ 1 มีอยู่ในวันจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 มีหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มค้างชำระแก่โจทก์เป็นเงินภาษี 2,719,705.73 บาท เบี้ยปรับ 6,122,523.58 บาท เงินเพิ่มคำนวณถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2554 เป็นเงิน 815,171.74 บาท และเงินเพิ่มคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 693,524.96 บาท รวมเป็นเงิน 10,350,911.96 บาท แต่ในวันจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีปรากฏว่า จำเลยที่ 1 มีเงินสดคงเหลือ 1,099,946.75 บาท และมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้แบ่งอีก จำนวน 827,823.33 บาท รวมเป็นเงิน 1,927,770.08 บาท จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดแก่โจทก์ในหนี้ภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระจำนวน 1,927,770.08 บาท และเนื่องจากจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดจะชำระภาษีและเบี้ยปรับมาตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนเลิกบริษัท เมื่อเจ้าพนักงานส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มให้จำเลยทราบแล้วโดยชอบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2554 โดยหนังสือแจ้งการประเมินดังกล่าวระบุให้นำเงินภาษีมาชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,927,770.08 บาท นับแต่วันพ้นกำหนดให้ชำระเงินภาษีตามหนังสือแจ้งการประเมินคือนับแต่วันที่ 10 กันยายน 2554 เป็นต้นไป ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนดอกเบี้ยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,927,770.08 บาท นับแต่วันที่ 10 กันยายน 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ