คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8780/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดผู้มีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินได้รับคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของโจทก์ไว้แล้วไม่ดำเนินการโอนให้แก่โจทก์เนื่องจากจำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ให้รอการโอนกรรมสิทธิ์ไว้ก่อน อันเป็นการกระทำตามหน้าที่โดยชอบและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการอย่างใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว ต้องถือว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาจึงไม่ถูกต้อง แต่เมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2),132(1)และมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าฝ่ายทะเบียน ประจำสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีมีหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินตามโฉนดที่ดินที่ผู้มีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียน โจทก์ไปติดต่อจำเลยทั้งสองเพื่อขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 17999 เนื้อที่ 1 ไร่ 50 ตารางวา มาเป็นของโจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมอันถึงที่สุดแล้วของศาลจังหวัดราชบุรีแต่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้อ้างว่าที่ดินถูกอายัดตามหนังสือของศาลจังหวัดราชบุรี ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินร่วมกันดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13999 ให้เป็นของโจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์โดยตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามสำนวนว่าส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทนายโจทก์แถลงภายใน 7 วันทนายโจทก์ทราบคำสั่งแล้ว และเมื่อครบกำหนดไม่แถลงไม่ศาลทราบจึงถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกา แต่ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ไม่ถูกต้องทั้งนี้เพราะศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาก็ต้องถือว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาที่จะสั่งและเมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงมีอำนาจสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 132(1)และมาตรา 247 คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่โจทก์ฎีกาว่า หนังสือของศาลจังหวัดราชบุรีที่ยธ.0200/702/4226 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2536 ที่มีไปถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี มีข้อความให้รอการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13999 ไว้จนกว่าศาลจะดำเนินการสอบถามคู่ความทั้งสองสำนวนก่อน แล้วจะแจ้งผลให้ทราบในภายหลัง จากข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ยังไม่อาจดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้เป็นไปตามความประสงค์ของโจทก์ในทันทีได้จนกว่าศาลจังหวัดราชบุรีจะแจ้งผลไปให้ทราบ การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีผู้มีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินได้รับคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของโจทก์ไว้ แล้วมีคำสั่งว่าให้รอการโอนกรรมสิทธิ์ไว้ เห็นว่า สาเหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการโอนให้แก่โจทก์ก็เนื่องจากจำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลอันเป็นการกระทำตามหน้าที่โดยชอบและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องแล้วถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 การกระทำอย่างใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แต่ประการใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า สิทธิของโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 1/2534ของศาลจังหวัดราชบุรี ก่อให้โจทก์อยู่ในฐานะผู้มีสิทธิจดทะเบียนได้ก่อนนั้น เห็นว่า เป็นกรณีที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวกับจ่าสิบตำรวจเอกชัยต่างหาก กรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ในคดีนี้ โจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามฟ้องได้
พิพากษายืน และให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2ออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา

Share