แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อันสินสอดนั้นตามกฎหมายเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส และเมื่อมีข้อตกลงจะให้สินสอดแก่กันแล้ว การให้สินสอดภายหลังการสมรสย่อมทำได้เพราะไม่มีอะไรห้ามซึ่งต่างกับของหมั้นอันจะต้องให้กันในเวลาทำสัญญาหมั้นคือก่อนสมรส
บิดามารดาโจทก์จัดให้โจทก์และ ว.ทำพิธีแต่งงานกัน และโจทก์เต็มใจยอมสมรสมารดาโจทก์ได้เตือนให้โจทก์ได้เตือนให้โจทก์และ ว.ไปจดทะเบียนสมรส แต่ทั้งสองคนละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียน โดยว่าจะไปจดวันหลังก็ได้ครั้นอยู่ด้วยกัน 3 เดือนก็มีเหตุต้องเลิกร้างกันไปโดยไม่ได้จดทะเบียน ดังนี้ จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวย่อมไม่ได้ ชายเรียกสินสอดคืนไม่ได้
จำเลยและ ว.บุตรชายตกลงหมั้นโจทก์และตกลงจะให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นสินสอดแก่บิดามารดาโจทก์ในวันสมรสถึงกำหนด จำเลยขอผัดให้เงินสินสอดภายหลัง มารดาโจทก์ยินยอมให้โจทก์แต่งงานกับ ว.เพื่อมิให้เสียพิธีแต่มิได้มีการจดทะเบียนสมรสกัน หลังจากสมรสแล้วจำเลยขอทำสัญญากู้ให้มารดาโจทก์แทนเงินสินสอดที่ตกลงจะให้ มารดาโจทก์ต้องการเอาเงินนั้นให้โจทก์ จึงให้โจทก์ลงชื่อเป็นผู้ให้กู้ในสัญญากู้ ดังนี้ แม้โจทก์กับ ว.จะมิได้จดทะเบียนสมรสกันแต่เมื่อการที่มิได้จดทะเบียนสมรสนั้น จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวไม่ได้แล้ว ชายย่อมเรียกสินสอดคืนไม่ได้ สัญญากู้จึงมีมูลหนี้เนื่องมาจากเงินสินสอดอันเป็นมูลหนี้ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อบิดามารดาโจทก์ตกลงยกให้โจทก์ และจำเลยยินยอมทำสัญญากับโจทก์เพราะมูลหนี้นี้แล้ว จำเลยย่อมต้องถูกผูกพันให้รับผิดตามสัญญากู้ที่แปลงหนี้มานี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนางจิตรมารดาโจทก์จัดให้มีการแต่งงานระหว่างนายวิชาญ บุตรชายจำเลยกับโจทก์ โดยนางจิตรเรียกเงินค่าสินสอดจากจำเลย ๘,๐๐๐ บาท ครั้นถึงวันทำพิธีแต่งงานจำเลยบอกนางจิตรว่า จัดหาเงินสินสอดไม่ทันขอให้ทำพิธีแต่งงานไปก่อนจะนำเงินค่าสินสอดมาให้ในเดือน ๕ พ.ศ.๒๕๑๓ เพื่อมิให้เสียพิธีแต่งงาน นางจิตรได้ยินยอมครั้นถึงกำหนดจำเลยมาบอกนางจิตรว่า จัดหาเงินค่าสินสอดไม่ทันขอแปลงหนี้ใหม่ โดยขอทำเป็นสัญญากู้ไว้และขอผัดชำระเงินภายใน ๑๙ เดือน นางจิตรยินยอมแต่ขอโอนเงินดังกล่าวให้โจทก์จำเลยตกลงและทำสัญญากู้ทั้งยอมเสียดอกเบี้ยตามกฎหมายให้โจทก์ยึดถือไว้ บัดนี้กำหนดเวลาตามสัญญากู้ล่วงเลยมานานแล้ว โจทก์ทวงถามก็เพิกเฉยขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงิน ๘,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าไม่เคยจัดให้มีการแต่างงานระหว่างนายวิชาญกับโจทก์มารดาโจทก์ไม่เคยเรียกเงินสินสอด จำเลยไม่เคยรับจะชำระเงินสินสอดโจทก์กับนายวิชาญไปอยู่กินร่วมกันเอง จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ให้โจทก์ลายเซ็นชื่อในสัญญาไม่ใช่ของจำเลย หากเป็นลายเซ็นชื่อของจำเลย จำเลยก็ถูกหลอกลวงให้ทำขึ้นโดยสำคัญผิดในสารสำคัญ การสมรสตามกฎหมายมิได้มีขึ้น หากมีการตกลงจะให้ทรัพย์ก็ไม่มีลักษณะเป็นสินสอดตามกฎหมาย กรณีเป็นเพียงการจะให้ทรัพย์โดยเสน่หาเท่านั้นซึ่งฟ้องร้องบังคับกันมิได้ ทั้งมูลหนี้ก็หาได้มีอยู่ไม่หรือมีก็ไม่สมบูรณ์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๘,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินให้แก่โจทก์ไว้จริงและแทนเงินสินสอดซึ่งมีข้อตกลงกันไว้ว่าจะให้แก่มารดาโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่าอันสินสอดนี้ตามกฎหมายเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ทั้งศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าหากมีข้อตกลงจะให้สินสอดต่อกันแล้ว การให้สินสอดภายหลังการสมรสย่อมทำได้เพราะไม่มีอะไรห้าม ซึ่งไม่เหมือนกับของหมั้นอันจะต้องให้กันในเวลาทำสัญญาหมั้นคือก่อนสมรส ฉะนั้นเมื่อบิดามารดาโจทก์จัดให้โจทก์และนายวิชาญทำพิธีแต่งงานกันและโจทก์เต็มใจยอมสมรสแล้ว มารดาโจทก์ยังได้เตือนให้โจทก์และนายวิชาญไปจดทะเบียนสมรสอีก แต่ทั้งสองคนละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียน โดยว่าจะไปจดวันหลังก็ได้ ครั้นอยู่ด้วยกัน ๓ เดือนก็มีเหตุให้ต้องเลิกร้างกันไปโดยไม่ได้จดทะเบียนเช่นนี้ จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวย่อมไม่ได้ชายเรียกสินสอดคืนไม่ได้ สัญญากู้ตามเอกสารศาลหมาย จ.๑ จึงมีมูลหนี้เนื่องมาจากเงินสินสอดดังกล่าวอันเป็นมูลหนี้ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อบิดามารดาโจทก์ได้ตกลงยกให้โจทก์และจำเลยยินยอมทำสัญญากับโจทก์เพราะมูลหนี้อันนี้แล้ว จำเลยย่อมต้องถูกผูกพันให้รับผิดสัญญากู้เงินที่แปลงหนี้ใหม่ ตามเอกสารศาลหมาย จ.๑ ทุกประการ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน